แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพกาย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สุขภาพกาย แสดงบทความทั้งหมด

7 ข้อดี "ดื่มกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล"

มิถุนายน 10, 2563

    ประโยชน์ของการดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาลในตอนเช้าตอนท้องว่างวันละแก้วช่วยทำให้ความจำดีขึ้นมาก

ทราบหรือไม่ว่าการดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาลมีประโยชน์เยอะมาก พอได้ดื่มแล้วจะทำให้ร่างกายสดชื่น กระปี้กระเปร่าพร้อมสำหรับการทำงานในเช้าวันใหม่นี้ด้วย นอกจากนั้นยังมีส่วนในการช่วยขยายหลอดเลือดและขับปัสสาวะได้ดีอีกด้วย ฉะนั้นก็ควรจะเลือกทานกาแฟที่มีคุณภาพด้วยนะ มาดูกันว่ากาแฟดี ๆ ดื่มกันอบย่างไร

ดื่มกาแฟวันละกี่แก้วถึงจะอยู่ในความพอดี  นั่นสินะ ซึ่งจำนวนนั้นไม่ได้มีผลตรงกับจำนวนคาเฟอีนในกาแฟนะ ซึ่งร่างกายควรได้รับคาเฟอีนเพียงวันละไม่เกิน 180 – 200 มิลลิกรัมเท่านั้นสมองจะได้ไม่โดนกระตุ้นมากเกินไป ถ้าได้รับเยอะไปจะทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ หงุดหงิด ปวดหัว และ ท้องเสีย ได้เหมือนกัน

ประโยชน์ของการดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาลในตอนเช้า

1. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้เป็นอย่างดี พุงยุบน้ำหนักลด

กาแฟนั้นช่วยแยกจับไขมัน โดยเฉพาะคนที่ชอบทาน เนื้อและอะไรที่มันย่อยยาก ๆ กาแฟ 1 แก้วไร้น้ำตาลจะไปช่วยย่อยให้เร็วขึ้น ดื่มแล้วลดไขมันตกค้าง ทำให้น้ำหนักลดและไม่ลงพุงอีกด้วย

2. ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
มีงานวิจัยหลายตัวยืนยันแล้วว่ากาแฟแบบไม่ใส่น้ำตาลนั้นช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับ และโ รคอื่น ๆ ได้ แน่นอนคาเฟอีนเป็นตัวช่วยยับยั้งนั่นเอง อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดโรคอื่น ๆ ได้เยอะเหมือนกัน รวมถึงเบาหวาน ด้วยนะ

3. ดื่มกาแฟตอนเช้าจะช่วยทำให้ความจำดีขึ้น
กาแฟทำให้สมองปลอดโปร่งเลยส่งผลให้ความจำดีขึ้น อารมณ์ก็จะดีขึ้นอีกด้วย มีจิตใจสงบ แต่จะต้องดื่มในปริมาณที่เหมาะสม

4. บำรุงร่างกายให้ไม่แก่เร็ว
พอลองเปรียบกับคนดื่มกาแฟเป็นประจำแบบไม่ใส่น้ำตาลกับคนที่ไม่ดื่ม ปรากฏว่าคนที่ดื่มสมรรถภาพทางร่างกายจะแข็งแรงกว่า เคลื่อนไหวดีกว่า ลุก นั่ง ยืน เดิน ได้คล่องตัวมากกว่า เนื่องจากคาเฟอีนเป็นตัวช่วยกระตุ้นนั่นเอง ทำให้มีแฮงฮึดขึ้นตั้งเยอะ

5. ดื่มกาแฟบำรุงผิวได้ดี
ต้องกาแฟไม่ใส่น้ำตาลเท่านั้นนะถึงจะดี จะทำให้ระบบไห ล เวียนเลือดทำงานปกติ ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานดี ช่วยแก้ท้องผูกอีกด้วยทำให้ผิวดีมากขึ้น

6. ลดความเสี่ยงการเป็นนิ่ว
อีกหนึ่งโรคลดความเสี่ยงได้ด้วยกาแฟ ก็มีผลสำรวจพบว่า สตรี ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ 4 แก้ว/วัน นั้นลดโอกาสจะเป็น โรคนิ่ว ในถุงน้ำดีลงถึง 25 % เลยทีเดียว

7. ดื่มกาแฟแก้เครียด
หากเครียดการดื่มกาแฟจะช่วยได้เยอะเลย หรือเวลาเหนื่อย ๆ มาจิบกาแฟสักหน่อยทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้นั่นเอง โดยดื่มกาแฟ 2 – 3 แก้ว/วัน ลดความเครียดได้ 15 % เลย

การดื่มกาแฟที่ไม่ใส่น้ำตาลยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกหลายอย่างเลยด้วย อย่างน้อยก็เอาเป็นว่าทานแบบไม่มีน้ำตาลดีกว่ามีน้ำตาล ใส่วิปครีมเยอะเลยนะ เพราะน้ำตาลจะยิ่งอ้วน ยิ่งเสียสุขภาพด้วยนะ ถ้าจะให้ดีฝึกดื่มกาแฟแบบไม่ใส่น้ำตาลจะดีกว่า

 

"คลายเครียด" เพราะ 3 อย่างนี้

สิงหาคม 10, 2562

     
     เครียด... มากจะทำยังไงดี ความเครียดมักมาเยี่ยมโดยไม่ได้รับเชิญอยู่บ่อยๆ อาหารการกินก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณได้คลายความเครียดของเราได้บ้าง วันนี้เรามาดูว่ามีอะไรบ้างค่ะ
     
      เชอร์รี่     เครียดจนนอนไม่หลับ ผลเชอร์รี่ช่วยคุณได้ เชอร์รี่มีสารเมลาโทนินสูง ทานแล้วจะช่วยให้คุณหลับสนิท ไม่ว่าจะเครียดจากเรื่องงาน เรื่องเรียน หรือปัญหาใดๆ ลองทานผลเชอร์รี่สด หรือเครื่องดื่มที่ทำจากเชอร์รี่ ซิคะรับรองหลับสบายหายห่วงค่ะ

      ปลา     กินปลาย่อยง่ายไม่อ้วน แถมยังทำให้มีสุขภาพจิตดี เพราะมี DHA หรือกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง โดยเฉพาะปลาทะเล DHA มีความจำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อสมองและระบบประสาท คงเคยได้ยินมาบ้างแล้วนะคะว่ากินปลาแล้วฉลาด อาหารมื้อต่อไปอย่าลืมทานปลากันนะคะ
     ช็อคโกแล็ต     ช็อคโกแล็ตมีสารฟินิลลัลลามีน (Phenylalamine) เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้อารมณ์ดี แต่อย่าเผลอทานเยอะล่ะ ระวังจะเพิ่มความอ้วนโดยไม่รู้ด้วยนะ

      ถ้าเครียดเมื่อไหร่ อยาลืมลองทานอาหารคลายเครียดกันดู รับรองได้ผลดีเกินคาด และไม่ทำให้เสียสุขภาพด้วยค่ะ
    
                    ติดตาม สาระดีๆ กันได้ใหม่ค่ะ ....บาย >>>>> 

"ก่อนนอน" ควรทำสิ่งนี้ เพื่อชีวิตสดใสในเช้าวันใหม่

กุมภาพันธ์ 16, 2562
       หลายคนบ่นกันมากเลยว่าอยากตื่นนอนมาแล้วสดชื่น แจ่มใสในทุกๆ เช้า หากอารมณ์สดชื่นในยามเช้าจะช่วยให้เราสดใสไปได้ทั้งวัน  แต่ไม่รู้จะทำยังไง ไม่เป็นไรเลยค่ะ วันนี้เรานำเคล็ดลับ!  3 สิ่งนี้ที่ควรทำก่อนนอน เพื่อชีวิตสดใสในวันรุ่งขึ้นมาให้อ่านและลองทำตามค่ะ เริ่มต้นกันเลย

      1. ผ่อนคลายจิตใจ   ชีวิตในหนึ่งวันของเรานั้น ต้องพบเจอกับอะไรตึงเครียดมากมาย หากเราหลับไปพร้อมกับความตึงเครียด เราย่อมตื่นมาพร้อมกับความหนักอึ้งในใจ เพราะงั้นก่อนนอน ให้ลองผ่อนคลายจิตใจ เช่น อาจจะฟังเพลงที่ชอบเบาๆ หรือหากเป็นวันที่เคร่งเครียด และมีความกังวลอย่างมาก ให้ลองลงมือเขียนสิ่งที่กังวลใจนั้นลงในไดอารี หรือโพสอิสง่ายๆ เพื่อบอกว่าฝากความกังวลไว้ก่อนนะ แล้วแปะไว้ข้างฝาค่ะ
     *การทำเช่นนี้ จะช่วยให้เราทบทวนคามรู้สึกของตนเอง พร้อมๆกับผ่อนคลาย ปล่อยวาง เพื่อเตรียมตัวพักผ่อนกันอย่างแท้จริง

      2. ขอบคุณสิ่งดีดีที่เกิดขึ้น เวลาก่อนเข้านอน เป็นช่วงที่เราควรคำนึงถึงความสุข และกล่าวขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เราได้รับ เพื่อช่วยให้เราอิ่มเอมใจ และมีความหวังกับชีวิตในวันรุ่งขึ้น นอกจากนี้การขอบคุณยังเป็นการแสดงถึงพลังทางบวก ช่วยปรับคลื่นในมองของเราให้สงบมากขึ้นอีกด้วย

      3. หลับสมาธิ  ฟังดูเหมือนแปลก แต่การทำสมาธิเล็กๆ น้อยๆ ก่อนนอน ช่วยให้จิตใจเราสงบ และผ่อนคลายอย่างแท้จริงเราเปลี่ยนจากการนอนนับแกะกระโดดไปมา ให้เราล้มตัวลงนอน พร้อมๆ กับตามลมใจหายใจเบาๆ หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ เมื่อหลับไปพร้อมกับใจที่จดจ่อกับลมหายใจ เราจะหลับสนิท ร่างกายได้พักเต็มที่ ตื่นมาก็จะสดชื่นสดใสในทุกวัน

      อ่านจบแล้วรู้สึกว่าดีจัง แล้วลองทำกันดูนะคะ ไม่ยาก ไม่เยอะ ไม่มีขั้นตอนที่ซับซ้อนอะไร แรกๆ ลองทำวันละข้อดูค่ะ
พบกับสิ่งดีๆ ได้ใหม่ใน "นานาสาระ - วาไรตี้" ค่ะ   ^_____^.

เคล็ดลับ!! "ให้หลับสบายทั้งคืน"

มกราคม 13, 2562
    
     การพักผ่อนสิ่งที่ดีที่สุด คือการนอนหลับ   แต่ก็มีบางคนนอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไม่สนิท แม้จะทำทุกวิถีทางแล้วก็ตาม จ
ะเพิ่งยานอนหลับก็คงจะไม่ดีแน่ๆ วันนี้หาสุดยอดวิธีดีๆ มาให้ค่ะ

    1. กินก่อนนอน
งานวิจัยชิ้นหนึ่งค้นพบว่า การรับประทานอาหารในปริมาณน้อยมื้อเบาๆ  ที่ประกอบไปด้วยคาร์โบไฮเดรต พร้อมด้วยแคลเซียม หรือโปรตีน ซึ่งอุดมไปด้วยกรดอะมิโน ทริปโตแฟน จะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้นในเวลากลางคืน  เพราะสารอาหารเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างเซโรโทนิน สารเคมีทางสมองที่ช่วยให้รู้สึกความสงบ ซึ่งเวลาที่เหมาะสมในการทานของกินเล่นก็คือ 1 ชม. ก่อนเข้านอนค่ะ


     2. ถ้าหลับไม่ลงสักทีก็อย่าฝืน
โบราณว่า ถ้านอนไม่หลับก็ลุกออกมาจากเตียง แต่การนอนห่มผ้าบนเตียงที่แสนนุ่มสบายต่อไปก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน เพราะฉะนั้น  จงปิดไฟเอนกายลง และหนุนหมอนให้สบาย  หายใจเข้าออกลึกๆ หรือไม่ก็คิดภาพว่ากำลังออกกำลังกาย จนคุณง่วงหลับไปเองค่ะ

     3. สูดกลิ่นแห่งนิทรา
กลิ่นบางกลิ่นก็ช่วยให้คนเรารู้สึกอยากนอนได้ อย่างเช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ คาร์โมไมล์ กระดังงา ฯลฯ  มันสามารถส่งผลให้เกิดการทำงานของคลื่นสมองระดับอัลฟา ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย และง่วงนอน ลองหยดน้ำมันหอมระเหยสัก 2-3  หยด ลงในน้ำเปล่าแล้วพรมลงบนหมอนสักเล็กน้อยสิคะ

     4. เลือกสีห้องนอนให้เหมาะสม
 สีบางสีช่วยให้กระปรี้กระเปร่า และสีบางสีก็ทำให้ง่วงซึม อย่างเช่น สีขาว เป็นต้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าสีขาวเป็นสีที่ไประงับสารเมลาโทนิน ฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายกำหนดกระบวนการหลับ - การตื่น  ดังนั้นจึงควรเลือกสีน้ำตาล หรือสีกรมท่าซึ่งช่วยเสริมสร้างการหลั่งสารเมลาโทนินแทน


     5. บอกลานมอุ่ม แล้วหันมาดื่มน้ำเชอรี่แทนดีกว่า
การดื่มน้ำเชอรี่ช่วยพัฒนาการนอนหลับ เพราะมันคือแหล่งของเมลาโทนิน และทริปโตแฟนทางธรรมชาติ เพราะฉะนั้นก่อนกลับบ้าน ก็แวะซื้อน้ำเชอรี่เข้มข้นมาดื่มสักนิดก็ดีค่ะ


      รู้แบบนี้แล้ว มาลองนำ 1 ใน  5 วิธี นี้มาปรับใช้ให้เข้ากับความสะดวกในแบบของเรากันดีกว่า เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ ฝันดีค่ะ  แล้วอย่าลืมติดตาม "นานาสาระ - วาไรตี้" ค่ะ

"เต้าหู้" กับคุณประโยชน์เน้นๆ ที่ต้องว้าว!!

มกราคม 07, 2562
    

      "เต้าหู้" กับประโยชน์ไม่ได้ธรรมดาเลย  โดยเฉพาะเป็นหนึ่งในอาหารเพื่อสุขภาพ เเละลดน้ำหนัก แถมยังมีดีต่อสุขภาพของคนที่ทานอีกด้วย คนจำนวนมากอาจไม่เคยรู้ว่า "เต้าหู้" มีดีอะไรบ้าง ตามมาอ่านค่ะ

     1. เต้าหู้ เเละผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองมีสารกลุ่มไอโซฟลาโวนสูง
ซึ่งทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมนเอสโทรเจนในเพศหญิง เเละควบคุมการเสริมสร้างกระดูกในร่างกายดังนั้นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองจึงมีความสำคัญสำหรับผู้หญิงทุกวัยโดยเฉพาะในวัยหมดประจำเดือน

     2. เสริมสร้างกระดูก เเละฟัน
ก็เพราะในเต้าหู้มีเเคลเซียมสูง เหมาะกับคนทุกวัยโดยเฉพาะเด็กๆ เเละสตรีมีครรภ์ซึ่งต้องการเเคลเซียมปริมาณมาก นอกจากนี้ยังช่วยลดโอกาสเกิดภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุเเละสตรีวัยทองอีกด้วยค่ะ

    3. ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เเละโรคหัวใจ
เพราะเต้าหู้ไม่มีคอเรสเตอรอลจึงช่วยลดโอกาสเป็นโรคความดันเเละหัวใจ

     4. ป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก 
เต้าหู้เป็นเเหล่งของซีลีเนียม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำงานของระบบต่อต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในคุณผู้ชายได้อีกด้วยค่ะ
     5 .เต้าหู้เป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม 
โปรตีนจากเต้าหู้ให้คุณค่ามากกว่าเนื้อสัตว์บางชนิดในปริมาณเท่ากันถึงสองเท่า โปรตีนที่ได้จากถั่วเหลืองแปรรูปประเภทนี้มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 8ชนิด และยังเป็นโปรตีนที่ให้ไฟเบอร์หรือกากใยอาหารที่ช่วยในระบบย่อยอีกด้วย นอกจากนั้นโปรตีนประเภทนี้ยังมีประสิทธิภาพในการลดคอเลสเตอรอลและลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดได้


     6. เหมาะสำหรับผู้ที่เเพ้นมวัว
ซึ่งอาจเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลเเล็กโทสในนมได้ การดื่มน้ำเต้าหู้จึงเป็นทางเลือกที่ดีเเม้คุณค่าทางอาหารจะน้อยกว่านมวัวเเต่ก็สามารถชดเชยด้วยการรับประทานอาหารประเภทโปรตีนเเละเเร่ธาตุอื่นๆ ได้ค่ะ

      7. ป้องกันโรคระบบทางเดินอาหารเเละมะเร็งลำไส้
เส้นใยอาหารในเต้าหู้ทำหน้าที่ช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหารเเละลำไส้ลดโอกาสการเกิดมะเร็งลำไส้ได้

     ข้อมูลเพิ่ม : นอกจากนี้เต้าหู้ก็ยังมีเลซิทิน ซึ่งมีผลในการลดไขมันและช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวกับความทรงจำด้วย "เต้าหู้" อาหารเลิศรสที่มาจากดินเเดนจีนโพ้นทะเลเราได้รับวัฒนธรรมการทานเต้าหู้ เเละได้มาดัดเเปลงเป็นหลายๆ ส่วนผสมของอาหารไทยหลายชนิด  นอกจากนี้เต้า  หู้เต้าฮวยน้ำ เเละนอกจากจะมีโปรตีนสูงเเล้วยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่นคาร์โบไฮเดรต เเคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส รวมทั้งเส้นในอาหารเเละยังมีไขมันอิ่มตัวต่ำไม่มีคอเรสเตอรอลเต้าหู้หนึ่งหน่วยบริโภค (100 กรัม) ให้พลังงานประมาณ 73 กิโลเเคลอรี่ เพียงเท่านั้นเองเหมาะสำหรับท่านที่อยากลดน้ำหนักได้ดีเลยค่ะ

ควรทาน "ไข่" ทุกวัน!! เพราะ 7 ประโยชน์ดีๆ นี้

มกราคม 03, 2562
     7 ประโยช์นดีๆ นี้มีอะไรบ้าง มาอ่านกันเลยค่ะ
     1. รู้หรือไม่?  ไข่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยม เเละมีคุณค่าทางสารอาหารมากมาย
ไข่เพียง 1 ฟองให้โปรตีนอยู่ถึง 6 กรัม  เป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมที่เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากทานเนื้อสัตว์  นอกจากนี้สารอาหารภายในไข่ยังประกอบไปด้วย วิตามินเอวิตามินบี วิตามินอีไธอามีน โฟเลต ธาตุเหล็กเเมกนีเซียม โอเมก้า 3 สูง เเละยังอุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่สำคัญต่อร่างกายของเราอีกด้วยค่ะ

     2.  ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล
ก็เพราะไข่ประกอบไปด้วยคอเลสเตอรอล HDL ซึ่งเป็นไขมันดี เเละไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  ทานไข่เป็นการช่วยลดระดับไขมัน LD Lซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย เเละช่วยให้ร่างกายผลิตวิตามิน เเละฮอร์โมน เช่น เทสโทสเตอโรนเอสโตรเจน หรือฮอร์โมนคอร์ติซอล ให้กับร่างกายด้วย

     3. ทานเเล้วช่วยบำรุงสมอง เเละระบบประสาทได้ดี
อยากสมองไบรท์เจิดจรัสเเล้วล่ะก็การทานไข่ก็ช่วยได้เป็นอย่างดี เพราะในไข่มีสารอาหารสำคัญอย่างโคลีน ที่ช่วยในการพัฒนาสมอง เกี่ยวข้องกับระบบความจำเป็นสารตั้งต้นที่ส่งผ่านสื่อประสาทที่เรียกว่าแอซิติลโคลีน ควรค่ากับคุณผู้หญิงทั้งหลายที่กำลังตั้งครรภ์ค่ะ ช่วยลดความเสี่ยงต่อความผิดปกติของเด็กในครรภ์ได้ค่ะ

     4. ไข่ทำให้ผิวพรรณดู สดใส เปล่งปลั่งขึ้นได้เยอะ
เพราะวิตามินบี คือสิ่งที่ทำให้ผิวของเราดูนุ่มเนียน เเละสดใสเปล่งปลั่ง แถมยังช่วยเรื่องความงามได้ดีโดยเฉพาะบำรุงเส้นผม หรือพัฒนาสุขภาพตาของคุณได้อีกด้วย

    
5. บำรุงกระดูก เเละสุขภาพฟัน
OMG!! ทราบไหมค่ะว่าประโยชน์ของไข่ก็เป็นตัวช่วยดีๆ ในการบำรุงดูเเลกระดูก เเละฟันได้เหมือนกัน  เพราะไข่ประกอบไปด้วยวิตามินดี เเคลเซียม ที่จะเข้าไปบำรุงเเละเสริมสร้างความเเข็งเเรงให้กับฟันรวมถึงกระดูกของเรานั่นเอง  เเถมยังช่วยบำรุงกล้ามเนื้อได้ดี สำหรับคนที่ไม่อยากทานเนื้อสัตว์ก็ลองเลือกทานไข่เพื่อเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อดูค่ะเพราะไข่ไก่ 2 ฟองให้คุณค่าเท่าๆ กับเนื้อสัตว์ 1 ส่วนโดยเฉพาะให้ทานไข่ขาวที่มีโปรตีนอยู่สูงจะช่วยบำรุงกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดีค่ะ

     6.  ช่วยลดน้ำหนัก

ด้วยความที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย  เเถมการทานไข่ยังทำให้คุณรู้สึกอิ่มง่ายกินน้อยลง แนะนำค่ะให้ทานในมื้อเช้าจะเป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะ เพราะจะช่วยลดปริมาณการทานอาหารที่คุณกินในระหว่างวันได้ เหมาะสำหรับคนที่กำลังลดไขมัน เเละลดน้ำหนักได้ดีค่ะ

     7.  ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ
อย่างที่เราพอได้ทราบประโยชน์ของไข่กันไปบ้างเเล้ว นั่นแหละค่ะไข่จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค เช่น มะเร็งเต้ามนม ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ หรือลดความเสี่ยงต่อโรคต้อกระจก  รวมไปถึงรักษาโรคภาวะหลอดเลือดเเข็งได้อีกด้วย


         เราเห็นประโยชน์ของไข่ที่ดีต่อร่างกายของเรามากมายกว่าที่คิดไว้  เเถมหาซื้อได้ง่าย สะดวก และยังราคาไม่เเพงทำทานก็ง่าย ควรมีติดครัวไว้ และมาทานไข่ทุกๆ เช้ากันนะคะ

อาหารที่เป็นตัวช่วยสำคัญ ที่ "คนอ้วน" ต้องรู้

ธันวาคม 10, 2561
        คนอ้วน ฟังทางนี้  ถ้าอยากหุ่นดีขึ้น นอกจากเราจะออกกำลังกาย และทานอาหารอย่างเหมาะสมแล้วเจ้าสารสกัดจากธรรมชาติยังถือเป็นอีกหนึ่งผู้ช่วยสำคัญของเราอีกด้วยค่ะ มีอะไรบ้าง?  >>
   1. ลูกพรุน  มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ไขมันต่ำ และแคลอรี่น้อย
        
   2. ถั่วขาว  มีสารฟาซิโอลามีน ยับยั้งกระบวนการย่อยแป้งเป็นน้าตาลถึง 66% เกิดการดึงไขมันที่สะสมไว้มาใช้พลังงาน 


   3. ชาเขียว  มีสารสกัดประเภท Catechins ช่วยกาจัดโคเลสเตอรอลในหลอดเลือด และเป็นสารแอนติออกซิแดนท์


   4. มะระขี้นก  มีสารสกัดชื่อ Charantin ทำหน้าที่คล้ายอินซูลิน ช่วยกระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตไขมัน และนำน้ำตาลกลูโคส จากกระแสเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อต่างๆ เพื่อเผาผลาญเป็นพลังงาน


  5. เส้นใยอาหาร  ทำหน้าที่ขัดขวางการดูดซึมของไขมันและน้าตาลในเลือด


   6. คอลลาเจน ช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่นกระชับ

      อาหารมีทุกอย่าล้งนมีดีในตัวเอง  หากเราทานอย่างถูกวิธี ก็มีประโยชน์มากมายค่ะ

"หัวเราะ" ให้ถูกวิธี มีดีกว่าที่เราคิด!

ธันวาคม 10, 2561
      
       การที่ได้  “หัวเราะ”  จะช่วยให้ฮอร์โมนความเครียด เช่นคอร์ติซอลอะดรีนาลีนลดลงและเพิ่มสาร "เอ็นดอร์ฟิน" หรือสารความสุขเพิ่มขึ้น
ตามศาสตร์ตะวันออกบอกว่าการหัวเราะบำบัดทำได้โดยสูดลมเข้าเต็มปอดกักไว้ทำอารมณ์ ให้สนุกยิ้มเข้าไว้และเปล่งเสียงเป็นสระ....

          สระ  - โอ อา อู เอ โอ      =  ท้องหัวเราะ
          สระ  -  อา                     =  อกหัวเราะ
          สระ  -  อู                       =  คอหัวเราะ
          สระ  -  เอ                      =  หน้าหัวเราะ 
          ฮึๆ (ทำเสียงในจมูก)         =  จมูกหัวเราะ 

            สำคัญเลยในทุกๆ วันอย่าลืมให้สมองกับหัวใจได้หัวเราะ พร้อมยิ้มให้กับตัวเอง และคนรอบๆ ข้างด้วยเพื่อชีวิตที่มีความสุข…สดใสค่ะ

สรรพคุณของ "เสาวรส" ใครๆ ก็บอกว่ามีดี

ธันวาคม 02, 2561
 

      ถ้าพูดถึง  "เสาวรส"  เป็นผลไม้รสชาติเปรี้ยวจี๊ดสะใจ เเถมยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว  บางคนก็เรียกกันว่า "กระทกรกฝรั่ง"  หรือในภาษาอังกฤษคือ Passionfruit  ต้นของเสาวรสเป็นไม้เถาส่วนผลของเสาวรสจะมีลักษณะเป็นทรงกลม หรือรูปไข่มีสีเหลืองสีม่วงอมน้ำตาล ขึ้นอยู่กับเเต่ละสายพันธุ์ เนื้อเยื่อด้านในมีความเป็นเอกลักษณะเฉพาะตัวคือประกอบไปด้วยเนื้อเเละเมล็ดเสาวรสจำนวนมากซึ่งคนส่วนใหญ่นิยมนำไปคั้นเสาวรสสำหรับนำมาดื่ม มาลองไปดูประโยชน์เเละสรรพคุณเด็ดๆ อีกหลายอย่างของเสาวรสกันดูค่ะ

  1. ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ให้ทำงานได้ดีขึ้น
      เสาวรส เต็มไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งมีส่วนช่วยในการขจัดคอเลสเตอรอลไม่ดีที่อยู่ในร่างกายให้ออกไป เหมาะที่จะใช้เพื่อการดีท็อกซ์ร่างกาย และนอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายได้ดี  ใครที่มีปัญหาการขับถ่ายลำบาก หรือท้องผูกอยู่ต้องหามาทานเเล้วล่ะค่ะ

   2. บำรุงสายตาได้ดีเลิศ
     เสาวรส มีวิตามินเอสูงมาก แถมมีสารอาหารสำคัญอย่างสารฟลาโวนอยด์เบต้าแคโรทีน และคริบโทแซนทินเบต้า ซึ่งล้วนเเต่มีคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระที่ควบคู่ไปกับวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดีค่ะ   คนที่มีปัญหาเรื่องสายตาไม่ต้องไปพึ่งการใส่เเว่นเลยค่ะ ลองหามาทานเลยค่ะ

   3. เป็นตัวช่วยที่ดีในการช่วยบำรุงหัวใจ และความดันโลหิต
     อุดมไปด้วยโพแทสเซียมถึง 384 มิลลิกรัม ต่อเสาวรส 100 กรัม  ซึ่งธาตุอาหารสำคัญอย่างโพแทสเซียมมีความสำคัญต่อเซลล์และของเหลวในร่างกายของเราเป็นอย่างดี รวมทั้งช่วยควบคุมการทำงานของหัวใจและความดันโลหิตให้เป็นปกติค่ะ

   4. ช่วยให้นอนหลับสบาย
     การดื่มน้ำเสาวรสเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ทำให้คุณนอนหลับง่ายขึ้นค่ะ 

     เคล็ดลับดีๆ เพิ่มเติมคือหากต้องการดื่มน้ำเสาวรส ควรดื่มเเบบน้ำคั้นสดเติมน้ำตาล หรือเกลือลงไปเล็กน้อยเพียงแค่นี้ก็ทำให้นอนหลับสบาย แถมยังได้ประโยชน์จากเสาวรสอีกด้วยค่ะ
   5. ช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน
     เสาวรสมีสรรพคุณในการป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ดีเลยค่ะ  ในเสาวรสมีแคลเซียม ฟอสฟอรัสสูงให้ลองคั้นน้ำเสาวรสดื่ม จะช่วยป้องกันโรคเหงือกอักเสบทำให้ฟันแข็งแรงขึ้นอีกค่ะ

   6. เสาวรสกับคุณค่าความงาม
     มีสรรพคุณสำคัญในการช่วยรักษาสิว บำรุงผิวได้รับการนำไปเป็นส่วนประกอบชองผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์รักษาสิว ผลิตภัณฑ์กันแดด เพราะว่ามีสรรพคุณช่วยในการสมานผิวรักษาเนื้อเยื่อผิวหนังนั่นเอง

  7. เป็นผลไม้ที่ช่วยควบคุมน้ำหนัก
     ผลไม้หลายต่อหลายชนิดมีประโยชน์นการช่วยลดน้ำหนักชนิดที่ว่าสาวๆ เป็นอันต้องรีบไปหามาทานเพื่อสร้างหุ่นสวยกันเลย เเละเช่นเดียวกันเสาวรสเองก็สามารถช่วยควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดีเพราะมีแคลอรี่ต่ำทานแล้วไม่อ้วน แถมให้สารอาหารที่ดีต่อร่างกายมีกากใยอาหารสูง ข้อดีของกายใยอาหารเหล่านี้เมื่อทานเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกอิ่มนานลดความอยากอาหาร  ช่วยสลายไขมันเก่าได้เป็นอย่างดี
 
     รู้หรือยัง?  คะว่าสรรพคุณมีมาแค่ไหน ประโยชน์เด็ดๆ ดีๆ  แบบนี้ ต้องไม่พลาดไปหามาลองกันบ้างแล้วล่ะ!!


ผิวใสใส ด้วยเศษใบชา

พฤศจิกายน 29, 2561

        ทำยังไง? ถ้าอยากผิวขาวใสสุขภาพดีโดยไม่มีสารพิษตกค้าง และยังอยากขับสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย  ทำได้ไม่ยากค่ะ แค่ใช้ "เศษใบชาที่ต้มแล้ว"

     ขั้นตอนที่ 1
นำชาที่เราต้มทานแล้วเหลือกาก  แกะออกจากถุง

     ขั้นตอนที่  2 
นำเศษชา มาใส่ไว้ในภาชนะที่เตรียมไว้

     ขั้นตอนที่  3
นำมาผสมกับน้ำผึ้ง  หรือใส่แค่น้ำอุ่นก็ได้ลงไป

     ขั้นตอนที่  4
หลังจากทำ ขั้นตอนที่ 1,2,3 เรียบร้อยแล้วนำมาขัดผิวแล้วทิ้งไว้ให้แห้งค่ะ  วิธีนี้ควรทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง  เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีค่ะ

      ขอแนะนำค่ะ หากเราขัดผิวใหม่ๆ ผิวจะแห้งและบาง แสงแดดจะทำร้ายผิวได้ง่าย ควรทำครีมกันแดดป้องกันไว้ด้วยนะคะ

แค่ 12 นาที ก็มีความสุขได้ทั้งวัน ต้องลอง!

พฤศจิกายน 28, 2561

     ต้องลองเลยนะ ถ้าอยากจะใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ราบรื่นมีความสุขและมีสติสัมปชัญญะ 

      วิธีง่ายๆ ที่ช่วยได้ดีมากๆ เลยแค่ "ฝึกนั่งสมาธิ" หลังจากตื่นนอนตอนเช้าก่อนที่จะทำภารกิจต่างๆ ใช้เวลาอย่างน้อยวันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด ทำให้สมองมี MentalImagery สมองปลอดโปร่งสามารถจินตนาการเห็นภาพ และมีความคิดสร้างสรรค์ 

     แค่วันละ 12 นาที รับรองเลยหากทำเป็นประจำทุกๆ วันจะเป็นวันที่ทำให้คุณมีจิตใจร่ำเริงแจ่มใส มีสมาธิ และพร้อมเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าใครไม่มีเวลามากพอในตอนเช้าก็อาจเปลี่ยนมาฝึกทำก่อนเข้านอนก็ได้เช่นกันค่ะ มาฝึกไปพร้อมๆ กันนะคะ 

"อ้วน" หรือเเค่ "บวมน้ำ" เช็คให้เเน่ๆ

พฤศจิกายน 25, 2561

         เราอ้วน  หรือ บวมน้ำ เราจะรู้ได้อย่างไร?
อาการบวมน้ำ  คือการที่ร่างกายเก็บกักน้ำเอาไว้เป็นจำนวนมาก  เเละทราบไหมว่าการที่ร่างกายของเราได้รับน้ำเยอะอาจไม่ใช่เพราะเราดื่มน้ำมากเกินไป แต่เพราะอาการบวมน้ำเกิดจากของเหลวที่ควรเดินทางผ่านหลอดเลือดและน้ำเหลืองกลับซึมเข้าสู่เซลล์และช่องว่างระหว่างเซลล์ในร่างกายเราจะสามารถรักษาระดับความสมดุลของน้ำในร่างกายได้อย่างธรรมชาติ 

     ** สาเหตุของอาการบวมน้ำ นอกจากจะเกิดจากการดื่มน้ำน้อยเกินไปเเล้ว ก็ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกเหมือนกัน เราจะมาเช็คว่าเรามีอาการเเบบนี้กันบ้างไหม?
 
     1. ช่วงประจำเดือน
อ้วนบวมน้ำเกิดจากการไม่สมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปสเจสเตอโรน จึงทำให้ร่างกายสะสมของเหลวมากกว่าปกติทำให้เกิดอาการบวมน้ำ บางคนอาจมีอาการท้องอืดร่วมด้วย

    2. ทานอาหารรสเค็ม
ทานอาหารรสเค็มจนเกิดอาการบวมน้ำ ก็เพราะโซเดียมจากอาหารเค็มทั้งหลายเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ร่างกายเกิดการบวมน้ำได้มากถึง 2 กิโลกรัม เพราะโซเดียมมีหน้าที่ควบคุมสมดุลของน้ำในร่างกาย  ถ้าหากร่างกายเรามีโซเดียมเยอะเกินไปจะทำให้เก็บน้ำมากขึ้นเพื่อทำให้โซเดียมเข้มข้นน้อยลงนั่นเอง รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมกินเค็มแล้วบวมน้ำเพราะร่างกายจะทำการเก็บน้ำอัตโนมัติเพื่อขับโซเดียมส่วนเกินออกทางไต  โดยปกติร่างกายของเราต้องการโซเดียมใน 1วัน เท่ากับปริมาณเท่ากับเกลือเพียง 1ช้อนชา เท่านั้นเอง

     3. พุงบวมเพราะแอลกอฮอล์หรือเปล่า
 เหล่านักดื่มตัวยงทั้งหลายจะเห็นว่าตัวเองตัวบวม พุงบวม เวลาเราดื่มแอลกอฮอล์เยอะๆ เราจะอยากเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ร่างกายของเราจะสูญเสียน้ำเป็นจำนวนมากความเข้มข้นของเลือดเราจะสูงขึ้นร่างกายของเราก็ต้องพยายามรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายโดยการกักเก็บน้ำไว้มากขึ้น

     4. ท้องผูกทำให้เกิดอาการบวมน้ำ
ใครเป็นกันหรือเปล่า?  เพราะคนที่ไม่ค่อยถ่าย หรือท้องผูกบ่อยๆ เเล้วล่ะก็ของเสียที่ยังตกค้างอยู่นั้นจะเกิดการผลิตเเก๊สออกมาจำนวนมากทำให้ร่างกายเกิดอาการบวมน้ำได้เหมือนกัน

     5.พนักงานออฟฟิศทั้งหลายที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์
คุณอาจมีความเสี่ยงง่ายๆ ที่จะเกิดอาการขาบวมร่วมไปด้วยเพราะชีวิตที่ต้องนั่งติดโต๊ะ หรือการนั่งทํางานติดต่อกันหลายชั่วโมงทําให้ต่อมน้ำเหลืองถูกกดทับ โดยเฉพาะบริเวณข้อพับควรนั่งตัวตรงไม่โน้มไปข้างหน้า และหาม้านั่งเล็กๆ มาหนุนเท้าให้สูงขึ้น บริหารขาด้วยการเหยียดแล้วกระดกปลายเท้าขึ้น–ลงก็เป็นอีกหนทางที่ช่วยเหลือปัญหานี้ได้

    วิธีเช็ค  อาการบวมน้ำ หรือ ความอ้วน  ต่างกันอย่างไร?
ลองกดลงที่บริเวณผิวหนังของเราเอง หรือกดเน้นๆ ไว้เหนือตาตุ่มค้างไว้ประมาณ 20 30 วินาที หลังจากนั้นคลายออกแล้วกดอีกผิวยุบลงไปกลับคืนสภาพช้า แนะนำว่าควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อความชัวร์ว่านั่นไม่ใช่แค่อาการอ้วนทั่วไปค่ะ

      วิธีแก้ อาการบวมน้ำได้อย่างไร?
มีวิธีการง่ายๆ เเเนะนำคือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่ออาการบวมน้ำ ที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ให้โซเดียมสูงเกินไป เเละงดการดื่มแอลกฮลล์ด้วยแล้วจะเป็นสิ่งที่ดีมากเลย 

      อย่าลืมเช็ด ตัวเองเรื่อยๆ ค่ะ และสุขภาพพื้นฐานดี สุขภาพอื่นๆ ก็จะดีตามมาค่ะ  ^____

ทาน "ฟักทอง" แล้วดียังไง?

พฤศจิกายน 17, 2561

     ส่วนเนื้อฟักทอง มีวิตามิน เเละเเร่ธาตุที่ดีเเเละมีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินอี, ฟอสฟอรัส, แคลเซียม, วิตามินซี, โพแทสเซียมแมงกานิส, เหล็ก รวมถึงสารอาหารสำคัญอย่าง "เบต้าแคโรทีน" มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลือง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็งโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจ  สารเบต้าแคโรทีน ยังช่วบต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่าได้ค่ะ

     ส่วนเปลือก  ก็มีประโยชน์ดีๆ การรับประทานทั้งเปลือกประโยชน์ค่ะ สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งตัวสารนี้คือสารที่ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย หากร่างกายขาดสารนี้ หรือการหลั่งอินซูลินผิดปกติ จะทำให้เป็นโรคเบาหวาน  การทานทั้งเปลือกยังช่วยควบคุมความดันโลหิต บำรุงตับ, บำรุงไต, บำรุงดวงตา, และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพไปค่ะ

     ฟักทอง เป็นพืชที่ให้พลังงานต่ำให้ไขมันน้อย จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการคุมน้ำหนัก เพราะมีกากใยสูง ช่วยให้ขับถ่ายได้ดีอีกด้วย 
เคล็ดลับง่ายๆ  เพียงทานฟักทอง 1 ถ้วย จะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มได้นานขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการคุมอาหารและน้ำหนักค่ะ
     
    ช่วยบรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้ส่วนบน เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะ ทานแบบนึ่งแล้วจะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องให้ทุเลาลงค่ะ

     เมล็ดฟักทองมีประโยชน์  (???) นอกจากจะทานเล่นเพลินๆ แล้ว ยังมีคุณค่าทางสารอาหารเหมือนกันนะ เช่นฟอสฟอรัส, โปรตีน, วิตามินรวมถึงสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" สารนี้มีสรรพคุณช่วยฆ่าพยาธิตัวตืด ช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะได้ด้วย

      ประโยชน์ สำหรับผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ๆ  ตามตำราสมุนไพรไทยระบุว่าฟักทองมีฤทธิ์อุ่น ช่วยทำการย่อยอาหารให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง และลดอาการอักเสบ หรือแก้ปวดได้ดีมากๆ เลยค่ะ

 ข้อมูลเพิ่ม :  ฟักทองเป็นพืชที่มีฤทธิ์อุ่น ยิ่งกระเพาะร้อนซึ่งจะมีอาการกระหายน้ำ มีปัสสาวะเหลือง เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานในปริมาณมากเกินไป เพราะจะกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้น ถึงจะร่างกายปกติก็ไม่ควรทานมากจนเกินไปค่ะ เพราะอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้ค่ะ

       ประโยชน์ดีๆ ที่ควรทราบ และบอกต่อให้กับคนที่เรารักค่ะ ติดตาม>>> กันได้ใหม่   "นานาสาระ-วาไรตี้" นะคะ

มะขามป้อม สุดยอดวิตามินซี (สรรพคุณ เริ่ด!!)

พฤศจิกายน 14, 2561
    
     เมื่อนึกถึงวิตามินซี  ในผลไม้ มีหลายอย่างมากมายที่อุดมไปด้วยวิตามินซี แต่วันนี้เราจะมาพูดถึง ผลไม้ที่มีมาช้านาน แต่ไม่ค่อยมีใครนึกถึง นั่นคือ "มะขามป้อม" สรรถคุณเลิศ แบบไหนมาดูค่ะ 

    1. เป็นแหล่งวิตามินซี ชั้นยอด 
รู้หรือไม่?  มะขามป้อม 1 ผล  ให้ปริมาณวิตามินซีสูงถึง 40%  เทียบเท่ากับส้ม 2 ผล  ยังมีสารแทนนิน และโพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารป้องกันการสลายตัวของวิตามินซี ทำให้วิตามินซีคงตัวอยู่ได้นานอีกด้วย   นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียมรวมถึงฟอสฟอรัสด้วยค่ะ ( จากผลการวิจัยยังระบุไว้ว่าวิตามินซีนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

กว่าวิตามินซีสังเคราะห์)

   2.  สรรพคุณทางยาช่วยแก้ไอ เจ็บคอ ละลายเสมหะ
ช่วยแก้ไอ แก้เจ็บคอ ลดเสมหะ ได้ดีมากๆ เพราะวิตามินซี และสารในกลุ่นแทนนิน แถมรสเปรี้ยวในตัวนั้นช่วยในเรื่องของการละลายเสมหะ และยังบำรุงเสียงได้ดีเสียด้วยค่ะ


   3.  ช่วยดับกระหาย
เมื่อกระหายน้ำให้ทานมะขามป้อมสดๆ จะช่วยได้ดีมากค่ะ หลังจากนั้นเมื่อดื่มน้ำเปล่าตามหลังไปจะให้ความรู้สึกที่สดชื่นเพิ่มขึ้นอีกค่ะ


   4. แก้อาการท้องเสีย โรคบิด
นี่อีก 1 สรรพคุณเด่นทางยา ในตำรับไทย ช่วยแก้อาการท้องเสีย, แก้โรคบิด,  หากรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน ให้นำลูกสดๆ ไปต้มน้ำประมาณ 10-20 นาที แล้วนำมาดื่ม จะช่วยบรรเทาอาการได้เป็นอย่างดีค่ะ


   5. บรรเทาอาการคันจากเชื้อรา หรือน้ำกัดเท้า
ใช้ส่วนรากมะขามป้อม มาสับเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปต้มเอาน้ำ มาทาตรงบริเวณที่เป็นเชื้อรา จะช่วยบรรเทาการคันได้ หรือหากจะใช้กำจัดเชื้อโรคจากน้ำกัดเท้าก็ให้ใช้เปลือกผสมลงไปแช่พร้อมกับน้ำที่ใช้แช่เท้า วิธีนี้จะช่วยทนทานต่อโรคนี้ได้ เพราะจะให้ผิวเท้าหนาขึ้นนั่นเอง


   6. มีฤทธิ์ เป็นยาระบายอ่อนๆ และช่วยแก้อาการท้องผูก

ช่วยระบายทำให้ระบบขับถ่ายของร่างกายทำงานได้ดี และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ใครที่มีปัญหาเรื่องนี้หมดห่วงเรื่องท้องผูกไปได้เลย แต่หากทานมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสียแทนได้นะคะ


   7.  บำรุงผิวพรรณ
เริ่ด!! ก็เพราะมีวิตามินซีสูงนี่แหละ จึงมีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย และยังทำให้หน้าขาวสดใสได้อีก  จะทานเป็นผล หรือคั้นน้ำมาทาหน้า ก็ช่วยให้ผิวพรรเปล่งปลั่งได้อีกด้วย

     ข้อมูลเพิ่ม  : มะขามป้อม หรือ Indiangooseberry เป็นพืชตระกูลเดียวกับมะยม มักเจริญเติบโตได้ดีในภมูมิภาคเอเซีย หรือพื้นที่เขตร้อน

นิสัย 10 ที่ทำให้สมองพัง

ตุลาคม 31, 2561

       "สมอง" คือ อวัยวะสำคัญของร่างกาย มีหน้าที่ควบคุมสั่งการเคลื่อนไหว, และรักษาสมดุลภายในร่างกาย เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณภูมิ เป็นต้น

       หน้าที่อีกอย่างของสมองยังเกี่ยวข้องกับการรับรู้อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว และความสามารถอื่นๆ ของเรา แต่เราอาจไม่รู้มี “สมองพัง” เป็นต้นเหตุของสมองเสื่อม ,ความจำสั้น , อัลไซเมอร์ แต่เรามักไม่รู้หรอกว่ามีพฤติกรรมบางอย่างที่เราได้ทำในทุกๆ วัน นอกจากจะทำร้ายร่างกายเรา ยังได้ทำร้ายสมองอีกด้วย

      1. ไม่ทานอาหารเช้า คนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ไม่ทานอาหารเช้าเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อมได้ 
 
      2.
ทานอาหารมากเกินไป ทานมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความจำสั้น ค่ะ 


     3.
ทานขนมหวานมากเกินไป การที่ทานขนมหวามมากๆ จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีน และสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ทำให้ขาดสารอาหารและยังขัดขวงการพัฒนาของสมอง


     4.
การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองฝ่อ

  
     5. อดนอน การอดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตายไดเพราะการนอนหลับจะทำให้สมองของเราได้พักผ่อนค่ะ 
     6. นอนคลุมโปง การนอนคลุมโปงเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มมากขึ้น และออกซิเจนจะลดน้อยลง ส่งผลให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยสง เป็นเหตุให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

      7. ใช้สมองในช่วงที่ไม่สบาย อย่าใช้สมองในขณะที่เราไม่สบาย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง 

      8.
มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุด เมื่อร่างการสูดอาการที่เป็นมลภาวะเข้าไปมากๆ จะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยลง 

 
     9.
ขาดการใช้ความคิด
ควรฝึกสองใช้ความคิด เพราะการคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้สมองไม่ฝ่อค่ะ
     10. เป็นคนไม่ค่อยพูด เพราะทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
      สำคัญนะคะสมองของเรา หมั่นบำรุงสมองของเราด้วยการหลีกเลี่ยงด้วยวิธีง่ายๆ ในชีวิตประจำวันกันนะคะ

ทานผักใบเขียว ช่วยลดอาการปวดท้อง (ประจำเดือน)


     เมื่อวันนั้นของเดือนมาเยือน "ผู้หญิง" บางเดือนปวดมาก บางเดือนปวดจนทนไม่ไหว พาลทำให้ไม่สบายกาย ไม่สบายใจไปด้วย สุขภาพจิตก็แย่ จะทำยังไง ทานยามากไปก็กลัวจะมีผลข้างเคียงตามมา วันนี้ก็เลยนำวิธีมาฝากกันค่ะ  "ผักใบเขียว" ใช่ค่ะ ผักใบเขียว 5 ชนิด ช่วดลดอาการปวดได้ค่ะ

1. ผักบุ้ง
     ผักบุ้งนอกจากจะช่วยให้สายตาดี ยังช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือน ลดลงอีกค่ะ  เพราะในผักบุ้งมีสารอาหารมากมาย เช่นวิทตามินเอ มีเส้นใยอาหารแคลเซียมฟอสฟอรัส วิตามิน B1 วิตามิน B2 ไนอาซิน วิตามินซี ..สำคัญมีธาตุเหล็กที่ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

2. ตำลึง
     เป็นผักใบเขียวอีกชนิดที่มีสรรพคุณโดดเด่นดีต่อสุขภาพ ให้โปรตีน เบต้าแคโรทีน วิตามิน A, วิตามิน B1, B2 , ธาตุแคลเซียมฟอสฟอรัส, ธาตุเหล็ก, รวมถึงไฟเบอร์ที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ..และผู้หญิงที่ปวดประจำเดือน ให้นำใบตำลึงมาต้มจืด ทานร้อนๆ สักถ้วย จะช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้เป็นอย่างดีค่ะ

3. คะน้า
     ผักใบเขียว ที่หาได้ง่ายมากๆ เลย คะน้ามีส่วนประกอบของแมกนีเซียมสูง ช่วยบำรุงโลหิต มีวิตามินและแร่ธาตุ เป็นประโยชน์ต่อสายตา และผิวพรรณ ช่วยลดการเกิดเนื้องอก ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ..แถมยังช่วยบรรเทาอาการปวดได้ด้วยค่ะ

4. กล่ำปลี
   นอกจากจะเป็นผักยอดนิยม มักมีอยู่ในอาหารหลากหลายประเภทแล้ว กะกล่ำปลียังมีวิตามินซีสูงมาก ยังช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตเจนฮอร์โมนเพศหญิงให้เป็นปกติ ..ก่อนทานควรทำให้สุกเสมอ จะช่วยลดอาการปวดท้องได้ดีค่ะ


5. ปวยเล้ง
    อีกหนึ่งชนิดที่มีสรรพคุณไม่ธรรมดา อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายมาก เช่นมีวิตามินเอฅ, วิตามินบี, วิตามินซี, แคลเชียมฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โฟเลต โปรตีน และแร่ธาตุอย่างแมกนีเซียมในปริมาณมาก จึงช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ดีมากๆ เลยค่ะ

    ....ปวดท้องประจำเดือน ไม่เป็นเรื่องยากอีกต่อไป นอกจากนี้ผลวิจัยทางการแพทย์ยังยืนยันอีกด้วยว่าผักใบเขียวมีส่วนผสมของไฟเบอร์ในปริมาณสูง ซึ่งช่วยในการดูแล และควบคุมประจำเดือนให้มาเป็นปกติมากยิ่งขึ้น ผักทุกชนิดล้วนแล้วมีประโยชน์ดีในตัวของเขาอยู่แล้ว อย่างนี้แล้วทานผักจึงช่วยให้สุขภาพดีค่ะ

"กล้วยไข่" กับประโยชน์ที่คุณคาดไม่ถึง

กันยายน 15, 2561


     "กล้วยไข่"  กับประโยชน์มากมาย ช่วยป้องกัน โรคโลหิตจาง โรคท้องผูก ลำไส้เป็นแผล ความดันโลหิตสูง ความเครียดและเส้นเลือดฝอยแตก บำรุงระบบประสาท ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย เป็นต้น
     
     จากการวิจัยกล้วยทั้ง 3 ชนิด คือ กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ และกล้วยหอม  พบว่าถ้าทานในปริมาณที่เท่ากัน คือ 100 กรัม กล้วยไข่จะมีเบต้าแคโรทีน มากที่สุดถึง 492 ไมโครกรัม ขณะที่กล้วยน้ำว้าและกล้วยหอมมีเพียง 9 ไมโครกรัมเท่านั้น

     นอกจากนี้ "กล้วยไข่" ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เยอะ ซึ่งสารนี้เป็นสารป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้อร้ายได้ และมีประโยชน์มากมาย สำหรับผู้หญิง คือลดริ้วรอยก่อนวัยได้

  แนะนำให้หามาทานกันนะคะ และติดบ้านไว้ ทานง่ายๆ ค่ะ



ตั้งเป้ารวย ก่อนแก่

กรกฎาคม 01, 2560


      เรื่องเงิน เป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งอายุเริ่มมากขึ้นหลายท่านพยายามหาแนวต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคง และให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในวัยทำงาน แต่ลืมนึกถึงแผนการเงินที่ทุกคนต้องเจอแน่นอน คือแผนเกษียนอายุ ปัจจุบันประชากรมีแนวโน้มอายุยืนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่ามั้ย วันนี้มี 3 เรื่องหลักที่ต้องรู้ เพื่อต้งเป้าไว้ก่อนวัยเกษียน 

    1.  รู้ตัวเลข เพื่อตั้งเป้าก่อนวัยเกษียน  จะต้องทราบข้อมูล เพื่อใช้กำหนดเป้าหมายทางการเงิน 
         - สิ่งแรก ต้องการใช้จ่ายหลังเกษียนต่อเดือนเท่าไหร่? 
         - สิ่งที่สอง จำนวนปีที่จะใช้เงินหลังเกษียน ซึ่งเป็นข้อมูลที่คาดการได้ยาก จากการสำรวจค่าใช้จ่ายหลังเกษียน พบว่า ค่าใช้จ่ายควรมีอย่างน้อย 15,500 บาทต่อเดือน และจากข้อมูลของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2556 พบว่า ประชากรไทย ผู้ชายมีอายุเฉลี่ย 71.1 ปี ในขณะที่ผู้หญิงมีอายุเฉลี่ย 78.1 ปี ดังนั้นให้ใช้จำนวนปี่ที่จะใช้เงินหลังเกษียนอย่างน้อย 20 ปี ขึ้นไป

     2.  รู้ทางเลือก เพื่อสร้างความมั่งคั่ง ก่อนหยุดทำงาน
          - ทางเลือกแบบจำเป็น  เป็นทางเลือกที่ผู้มีรายได้ประจำอาจมีอยู่ แต่ไม่ทราบสิทธิประโยชน์ทีจะได้รับ เช่น กองทุนประกันสังคม เป็นแหล่งเงินออมภาคบังคับสำหรับผู้มีรายได้ประจำ หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ที่สามารถเลือกสัดส่วนการออมเงินได้ที่มี เพื่่อสะสมไว้ใช้ยามเกษียน 
          - ทางเลือกแบบแนะนำ เป็นทางเลือกที่ผู้มีรายได้ประจำ หรือเจ้าของกิจการสามารถใช้เป็นทางเลือกในการออมเพื่อเกษียนได้ โดยภาครัฐจะใช้มาตรการทางภาษีในการจูงใจให้ออมเงิน เช่นกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นประกันแบบบำนาญ
          -  ทางเลือกตามสไตล์คุณ  เป็นทางเลือกในการออมต่างๆ เช่น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หรือกองทุนรวมทั่วไป

     3.  รู้ทางลง เพื่อปรับเปลี่ยนแผนพิชิตเป้าหมาย  ข้อควรรู้สุดท้าย คือ ต้องรู้ทางเลือก (ในการ) ลง (ทุน)  หลังจากรู้ตัวเลขของเป้าหมายทางการเงิน และรู้ทางเลือกว่าจะมีแหล่งเงินออมจำนวนเท่าใด จะทำให้รู้เป้าหมายในการออมเพิ่ม จึงมาสู่ขั้นตอนในการจัดสัดส่วนเท่าไร และมีโอกาสจะบรรลุเป้าหมายรวยก่อนแก่ได้มากหรือน้อยเพียงใด นอกจากหาแผนปฏิบัติการได้แล้วว่าจะออมเท่าไร และจะลงทุนอย่างไร สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามอีกประการ คือ การติดตามผลว่าเมื่อดำเนินการตามแผนที่วางไว้แล้ว จะมีผลตอบแทนเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ และจะปรับแผนการออมอย่างไรต่อไป เพื่อให้ยังสามารถบรรลุเป้าหมายรวยก่อนวันเกษียนไว้ได้ดังเดิม

4 สัญญาณเตือน ความเครียด

มิถุนายน 25, 2560


    "ความเครียด" เป็นภัยเงียบ มักมาโดยเราไม่รู้ตัวเสมอ กว่าจะรู้ว่าเครียดก็กลายเป็นอาการป่วยไปเสียแล้ว แต่เรามี 4 วิธีเช็คอาการตั้งแต่เริ่มแรกว่าความเครียดมาเยือนเราหรือยัง?

    1. ฝันแปลกๆ  หรือฝันร้าย  หากเกิดความเครียดคนเรามักตื่นต่อเนืองๆ ก่อจินตนาการทางลบ และกลายเป็นฝันร้าย
      วิธีแก้  : ควรเลี่ยงดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนนอน

     2. ปวดศีรษะ  เมื่อหยุดความตึงเครียดทันทีทันใดมักก่ออาการไมเกรน เพราะฉะนั้น อาการปวดศีรษะในวันหยุดจึงอนุมานได้ว่ามาจากความเครียดจากวันทำงานที่เราไม่รู้ตัว
     วิธีแก้  :  พยายามทานอาหารให้ตรงเวลา ในวันหยุด


     3. ปวดท้องประจำเดือน  ความเครียดทำให้การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน และผู้ที่เครียดมักมีอาการปวดท้องเมื่อมีประจำเดือนมากเป็น 2 เท่า ของผู้ที่ไม่มีความเครียด
     วิธีแก้  :  ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ

     4. เจ็บเหงือกโดยไม่ทราบสาเหตุ  บางทีอาจเป็นเพราะนอนกัดฟันก็ได้ เพราะผู้ที่เครียดมักชอบกัดฟัน
     วิธีแก้  :  พบทันตแพทย์ แจ้งอาการ พร้อมกับขอที่ครอบฟันเวลานอน ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า 70% ของผู้ที่ใส่ครอบฟันเวลานอน นอกจากคลายเครียดแล้ว อาการเจ็บเหงือกหรือฟันแล้ว ยังหยุดอาการนอนกัดฟันได้ด้วย

   ถ้ารู้แบบนี้แล้วเมื่่อพบวาตนเองเครียด ให้หาสาเหตุและแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพื่อสุขภาพดี

ความเครียดคนทำงาน เกิดขึ้นได้อย่างไร?

มิถุนายน 24, 2560

"ทำไม? คนทำงานถึงเครียด"  เครียด ๆๆๆๆ อยากรู้มั้ยความเครียดของคนทำงานเกิดขึ้นได้อย่างไร

     แพทย์หญิงฉันทนา ผดุงเทศ ผู้ช่วยผู้อำนวยสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข ให้คำอธิบายว่า "ความเครียดจากการทำงาน" เกิดจากสองปัจจัยคือ 1. ปริมาณงานที่เหมาะสม , 2. งานที่ควบคุมได้

   ^__^   ถ้าหากคนทำงานได้รับปริมาณงานที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป และควบคุมการทำงานนั้นๆ ให้ออกมาดีได้ ก็จะไม่มีความเครียดมารบกวนชีวิต แต่หากงานมีปริมาณมากจนควบคุมไม่ได้ ความเครียดก็จะค่อยๆ สะสมขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย  
      ^__^   ในทางจิตเวช  ความเครียดจากการทำงาน เกิดจากการที่แต่ละคนมีกลไกการปรับตัวไม่เท่ากัน บางคนเกิดมาไม่เคยเจอความทุกข์ หรือความเครียดเลย จึงเกิดอาการสติแตกได้ง่ายๆ เมื่อต้องทำงานภายใต้สภาวะกดดันหรือมีปัญหางานเข้ามาให้แก้ไขอยู่เรื่อยๆ  
      ^__^   ส่งผลให้อาจมีการตอบสนองรุนแรงมาก เช่น วีนแตกใส่คนรอบข้าง หรือมีอาการทางกาย เช่น มึนศรีษะ เป็นไข้ ปวดท้องรุนแรง จนกลายเป็น โรคไซโคมาติกซินโดรม 
     ^__^    วิธีแก้ไข เมื่อเรารู้สาเหตุแล้ว หมั่นหาวิธี หาเวลา ผ่อนคลายเพื่อป้องกันความเครียดถามหากันบ้างค่ะ