แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิต และงาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิต และงาน แสดงบทความทั้งหมด

วิธีรับมือ เพื่อนร่วมงาน (ตัวแสบ!!)

กรกฎาคม 11, 2562
       

     ชีวิตในที่ทำงาน  ...บางครั้งก็มีเรื่องให้เครียดเพราะเจอเพื่อนร่วมงาน (ตัวแสบ) แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจลาออกนะ ก่อนตัดสินใจ อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านวิธีรับมือ และปรับตัว (แบบมืออาชีพ) กับเรื่องเพื่อนร่วมงาน 8 ประเภทกันก่อนค่ะ
      
      หลงตัวเอง  คิดว่าฉลาดเกินคนอื่นหรือไม่มีใครฉลาดเท่า จึงไม่ยอมแบ่งงานหรือร่วมงานกับใคร รวมทั้งไม่ชอบฟังคำแนะนำจากใครๆ อีกด้วย  ..วิธีรับมือ..พยายามปรับตัวทำใจให้ชิน พูดให้น้อย ชื่่นชมในความเก่งของเขา หลีกเลี่ยงการตำหนิ แต่ควรบอกเขาเมื่อทำผิดพลาด

     หนักไม่เอา เบาไม่สู้  คนประเภทนี้ชอบผัดวันประกันพรุ่ง กินแรงคนอื่น ไม่ค่อยเสียสละ เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง ..วิธีรับมือ..ให้พยายามพูดชื่นชมผลงานเพื่อให้แสดงฝีมือบ่อยๆ ในทางกลับกันอย่าไปตำหนิเพราะยิ่งตำก็จะยิ่งไม่ยอมทำอะไรเลย

     เอื่อยเฉื่อยแบบเช้าชามเย็นชาม  ประเภททำงานแบบย่ำอยู่กับที่ เพราะเคยชินกับวงจรการทำงานแบบเดิมๆ ที่รู้สึกว่าปลอดภัยดี จึงไม่คิดปรับปรุง คนแบบนี้จะกลัวการเปลี่ยนแปลงและมักคัดค้านไว้ก่อน ..วิธีรับมือ..ให้เวลาเพื่อนร่วมงานได้เรียนรู้ประโยชน์ของสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อค่อยๆ ยอมรับและเริ่มทำด้วยตัวเอง หรือเสนอให้มีการอบรมให้ความรู้ใหม่ๆ เพื่อเปิดโลกทัศน์ จะได้เลิกยืนหยัดคัดค้าน

     แยกเรื่องไม่ค่อยออก  บางคนแยกงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก บางครั้งมีปัญหาที่บ้านทำให้ไม่สบายใจก็จะเก็บตัว หรือหงุดหงิดพานมีเรื่องกับคนอื่นโดยไม่รู้ตัว หรือมีเรื่องขุ่นเคืองกับคนในที่ทำงานพานให้เสียงาน ..วิธีรับมือ..ง่ายๆ ด้วยการพยายามให้สองฝ่ายได้พูดคุยปรับความเข้าใจ เพื่อจะได้ร่วมงานกันต่อไปอย่างราบรื่น 

     ขี้โมโห  ถ้าเรามีเพื่อนร่วมงานประเภทโกรธง่ายหายเร็ว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่พอใจอะไรก็แสดงออกมาโดยไม่คิดถึงจิตใจผู้อื่น ..วิธีรับมือ..ด้วยการไม่เถียงขณะที่เขาแสดงอาการฉุนเฉียว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่รับฟัง หากอยากจะเตือนต้องพูดตอนอารมณ์ดีๆ   


     ไม่มั่นใจในตัวเอง  มีความคิดดีแต่ไม่กล้าแสดงออก กลัวล้ำเส้น หรือถูกตำหนิหากผิดพลาด ..วิธีรับมือ..แบบนี้ต้องคอยให้กำลังใจส่งเสริมให้ทำสิ่งที่ดี พยายามให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อน หากทำผิดก็ช่วยแก้ไข ไม่ตำหนิ หรือซ้ำเติม 

     เหลี่ยมจัด ลอบกัด ปัดความรับผิดชอบ  พวกเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอีกอย่าง เอาความดีใส่ตัวแล้วโยนความชั่วให้คนอื่น ถ้าต้องการร่วมงานด้วยควรระวังให้มาก เพราะอาจถูกแทงข้างหลังเป็นแผลเหวอะหวะ หรืออาจเจอเล่ห์กลเล่นแง่ทำให้งานของเขากลายเป็นของเราได้ง่ายๆ ..วิธีรับมือ..เข้าใกล้เท่าที่จำเป็น อย่าไปสุงสิง ทำงานของตัวเองให้ดีที่สุดเป็นพอ 


     ไร้มนุษยสัมพันธ์  คนประเภทนี้จะตรงไปตรงมา แบบขวานผ่าซาก คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น ถึงแม้จะมีเจตนาดี แต่ว่าแสดงออกมาไม่เป็น ทำให้คนคิดว่าหยิ่ง ไม่น่าคบ ไม่อยากร่วมงานด้วย ..วิธีรับมือ..ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นพยายามมองส่วนดีและมองข้ามเรื่องขุ่นข้องหมองใจเล็กๆ น้อยๆ เพื่อสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน

        รู้เขา รู้เรา แบบนี้ก็สบายๆ ไปอีกหลายอย่างแล้วค่ะ

"ยุติอารมณ์โกรธ" จากคู่สนทนา ได้อย่างไร?

มิถุนายน 20, 2562
     การยุติอารมณ์โกรธระหว่างสนทนาในเรื่องที่มีความคิดแตกต่างกัน  ให้เลือกเงียบไว้ก่อน หรือไม่แสดงอารมณ์ตอบโต้กลับไป  แต่ในทางกลับกันหากเราแสดงอารมณ์ตอบโต้กลับไปเพื่อความสะใจ  หรือแค่จะนำเสนอเหตุผลของเราก็ตามที   ผลลัพธ์ที่ได้กลับพาคู่สนทนาดิ่งลงเหวของอารมณ์โกรธ  และไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วยซ้ำ

      ฉะนั้นเมื่อโกธรเราควรจะต้องดึงสติของเรากลับมาสู่ปัจจุบัน
 และคิดไตร่ตอรงความต้องการของเราจริงๆ ให้ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วในใจของเราต้องการอะไรกันแน่  หลังจากนั้นจึงเลือกที่จะพูดความรู้สึกของเรา และความต้องการของเราจากใจจริง  มากกว่าการเติมอารมณ์เข้าไปในประโยคสนทนา

      เช่น เมื่อโดนเจ้านายตำหนิในเนื้องานที่มีความเห็นไม่ตรงกัน  แทนที่จะตอบด้วยอารมณ์โกธรเราลองเปลี่ยนเป็นการตอบด้วยประโยคขอความคิดเห็น หรือความต้องการหาทางออกร่วมกัน เพื่อหยุดยั้งอารมณ์โกธรของทั้งตนเองและของเจ้านาย ประโยชน์ที่จะเกิดจากการดึงอารมณ์ให้กลับมาอยู่ที่ศูนย์กันทั้งสองฝ่าย ทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการสนทนาให้ได้ผลลัพธ์ที่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นบทสนทนา และเพื่อรักษาไว้ซึ่งมารยาทและการให้เกียรติกันของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้การทำงานในครั้งต่อไปไม่เกิดช่องว่างระหว่างกัน

      หากนำไปปฏิบัติได้ตามนี้นอกจากผลลัพธ์ของบทสนทนาที่จะเกิดขึ้นแล้ว คุณยังสามารถรักษาความสัมพันธ์ของเพื่อร่วมงาน หรือระหว่างคุณและเจ้านายไว้ได้นั่นเอง เพื่อส่งผลให้การทำงานที่ราบรื่นมากขึ้นในครั้งต่อไปด้วยค่ะ

"สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง" เรียนรู้ได้ด้วย 5 วิธี

มิถุนายน 19, 2562

      ความมั่นใจหาได้จากที่ไหน?  อันดับแรกเราต้องมาเรียนรู้กันว่าเราจะเริ่มหาจากตรงไหน และสร้างมันได้จากอะไรกันค่ะ เรามีวิธีคิดค้นหาตัวตน และต้นตอ เริ่มจาก 5 วิธี ที่เราได้นำมาแบ่งปันกันเลยค่ะ

  1. ก่อนอื่นค่ะ ให้เราเปิดใจรับฟังความต้องการที่แท้จริงของตัวเองค่ะ สิ่งนี้จะเปิดโอกาสให้กับเราได้พบกับตัวตนที่แท้จริงของเรานั่นเอง  และเมื่อพบแล้วถึงวันนั้น เราจะสามารถตอบเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตได้อย่างชัดเจนว่าเหตุใดในบางเรื่องควรจึงได้พาตนเองไปเจอกับบางสิ่ง หรือปฏิเสธบางสิ่ง

  2. มองย้อนไปหาข้อผิดพลาดของเรา และเรียนรู้บทเรียนครั้งก่อน หลังจากที่ฟังความต้องการของตนเอง และทำให้เห็นเหตุการณ์ในอดีตแล้วว่าสิ่งใดที่ตนเองได้ทำล้มเหลวไว้ การเรียนรู้ข้อผิดพลาดนั้นๆ ทำให้เรารู้ดีว่าในอนาคตเราจะหาหนทางทุกวิถีทางเผื่อที่จะไม่ทำให้ตนเองต้องซ้ำรอยเดิม

  3. อยู่กับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น เมื่อเราดำเนินชีวิตมาจนถึงวันที่เหตุการณ์บางเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้วหนทางเดียวที่จะเรียกความมั่นใจให้กลับมาสู่ตัวเองได้อย่างรวดเร็วก็คือ "การยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น" นั่นเอง

  4. สร้างจุดแข็งของตนเอง เมื่อคุณได้ฟังความต้องการของคุณเองแล้ว และคุณได้เรียนรู้ถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วว่าเหตุผลอะไรคุณจึงได้หรือไม่ได้ในบางสิ่ง เมื่อคุณวิเคราะห์อย่างชัดแจ้งแล้ว การสร้างจุดแข็งให้กับกับตนเองจากเหตุผลที่คุณค้นหาเจอแล้วนั้น จะสามารถปรับให้เป็นพลังและเปลี่ยนเป็นจุดแข็งของคุณเองได้ค่ะ

   5. เสริมจุดแข็งให้แกร่งขึ้น ความมั่นใจในตนเองเกิดจากการรักตัวเอง และพอใจในความเป็นตัวเองก่อน เมื่อได้ปรับจุดแข็ง และได้ริเริ่มรักตัวเองแล้ว ก็ควรจะพัฒนาจุดแข็งนั้นด้วยการเสริมจุดแข็งให้กับตนเอง เพื่อการสร้างรากฐานความพอใจในตนเองให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนนั้นเองค่ะ

     เมื่อเรารู้ตัวเอง รู้สาเหตุ ที่มาที่ไป และรู้ว่าเรามีจุดแข็งตรงไหนจงสร้างมันให้แข็งแกร่ง และจงเริ่มรักตัวเองมากขึ้น พบกันใหม่ใน "นานาสาระ - วาไรตี้"  ^____^

           

รู้ทั้งรู้ว่าต้องการทำอะไร แต่ไม่เคยทำได้สำเร็จ!! เพราะ?

มิถุนายน 11, 2562

      ถ้าคุณคือคนที่ทำอะไรไม่ค่อยสำเร็จขอให้อย่าเพิ่งท้อถอย ลองหันกลับมาทบทวนดูดีกว่าว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไรที่ทำให้คุณไม่สามารถพิชิตความต้องการที่ตั้งความหวังไว้ได้ซักที

  1. คุณต้องการมันในระดับไหน อาจจะต้องวัดความต้องการกับสิ่งที่คุณวางแผนพิชิตเอาไว้นั้นมีความเข้มข้นมากแค่ไหน

  2. สิ่งนั้นใช่สิ่งที่คุณต้องการจริงๆ หรือเปล่า เป็นเพราะกระแส ความต้องการในสังคมและคุณได้นำมันมาตั้งเป็นเป้าหมาย

  3. มองหาความต้องการภายในใจที่แท้จริง ถ้าหากสิ่งที่คุณมีความต้องการที่ได้ตั้งเป้าหมายว่าต้องพิชิตให้สำเร็จไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง ก็อย่าไปสนใจ และละทิ้งมันไปจะดีกว่า

  4. ขาดแคลนปัจจัยที่จะทำให้ได้มาซึ่งความต้องการนั้น เมื่อหาพบแล้วว่าคุณต้องใช้ปัจจัยต่างๆ จึงจะสามารถทำให้สิ่งที่ต้องการได้ ก็ควรเริ่มสร้างปัจจัยเหล่านั้นให้สมบูรณ์เสียก่อน

  5. ปัดป้องว่าทำตามความต้องการของตนเองไม่ได้ เพราะไม่ได้เริ่มทำในสิ่งที่ต้องการเอง ถ้าเป็นดังนี้ คิดว่าปัญหาคงไม่ใช่ใครนอกจากตัวคุณเอง การเปลี่ยนที่ถูกต้องที่สุดควรเริ่มจากเปลี่ยนตัวคุณ

      ถ้าเราได้แต่บ่นว่าไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ อาจจะทำให้คนรอบข้างเกิดความรำคาญได้ และที่เกิดขึ้นกับตัวเราคือความทุกข์ใจ ฉะนั้นแล้วการหันมามองสิ่งต่างๆ ทบทวน ใน 5 ข้อ นั้นคงจะพอช่วยให้คุณสังเกตุความต้องการอยากทำบางสิ่งได้ดียิ่งขึ้นค่ะ

เทคนิค! "ทำงานให้มีความสุข"

มีนาคม 06, 2562


      การที่ทำอะไรซ้ำๆ  ในแต่ละวันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์คนไหนต้องการหรอกค่ะ เช่นการตื่นเช้าไปทำงานคือเรื่องราวที่ซ้ำซาก และบางคนก็เริ่มรู้สึกจำเจเบื่อหน่าย ถึงระหว่างที่ทำงานจะไม่ได้เจอเรื่องเดียวเหมือนกันทุกวัน แต่กระบวนการ หรือขั้นตอนการทำงานก็อาจจะมีความซ้ำซ้อนจนบางครั้งเราก็เริ่มจะเบื่อหน่ายกับทำงานซ้ำๆ  แต่ก็มีอีกหลายคนไม่น้อยเลยทีเดียวที่มีความชอบและรู้สึกสนุกกับงานที่ทำ คนเหล่านั้นเขามีวิธีอย่างไรเรามาดูกันค่ะ

 1. เขาหาเรื่องทำแล้วมีความสุข   อันนี้หลายๆ คนคงสงสัยกันมันยังไงกัน! เพราะแต่ละวันงานก็ซ้ำซากอยู่แล้วจะเอาตรงไหนมาเลือกทำให้เกิดความสุขได้อีกกันหนอ  มาดูค่ะลองเปลี่ยนมุมมองกับสิ่งของต่างๆ รอบๆ ตัวด้วยใจดูสิเราจะได้เห็นอะไรแตกต่างทันที  เริ่มจากเปลี่ยนอุปกรณ์บนโต๊ะทำงานให้เป็นเครื่องใช้งานสำนักงานดีไซน์เก๋ไก๋ หรือเปลี่ยนการแต่งตัวให้แปลกใหม่เป็นแบบต่างๆ ที่เราชื่นชอบ

  2. นอนเร็วขึ้น   หลายๆ คนอาจจะหมดเวลาไปกับติดตามเหตุการณ์บนไทม์ไลน์ในช่วงเวลาค่ำคืน  เปลี่ยนแบบนี้ค่ะ ลองปิดสวิตส์ไฟเข้านอนเร็วขึ้นสักหนึ่งชั่วโมง จะทำให้คุณตื่นมาสดใสและมีพลังมากยิ่งขึ้น

  3. ลำดับความสำคัญของงาน  การลำดับความสำคัญของงานในแต่ละวัน จะช่วยให้คุณจดจำรายละเอียด และบริหารงานในความรับผิดชอบของคุณได้ดีขึ้นมาก นอกจากงานออกมาดีแล้ว คุณจะมีเวลาว่างที่จะไปทำอย่างอื่นได้อีกด้วย

 4. ควบคุมอาหาร  การออกกำลังกาย  จะช่วยสร้างความรู้สึกมีความสุข เมื่อทำควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารคุณจะรู้สึกรักตัวเองมากขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ


   ว้าว!!  แค่ได้อ่านก็รู้สึกอยากลองทำดูแล้ว เพราะแต่ละวิธีไม่ได้ยากสำหรับเราเลย แค่ปรับนิดปรับหน่อยเองค่ะ พบกันสาระดีๆ ใน "นานาสาระ - วาไรตี้" ได้ใหม่เร็วๆ นี้ค่ะ

"เมื่อหัวหน้าให้งานเยอะ" อยากรู้วิธีจัดการมั้ย?

กุมภาพันธ์ 18, 2562
      หัวหน้าให้งานเยอะนั่นคือคุณได้รับความไว้วางใจในการทำงาน  จึงได้รับมอบหมายให้ดูแลงานต่างๆ มากขึ้นจนบางทีก็มากจนทำไม่ไหว  แต่คุณไม่ควรบ่น!! เพราะอะไร?!! เพราะเหตุนี้ค่ะงานที่ได้รับมอบหมายนั้นคือการสร้างโอกาสในการพัฒนาตัวตนของคุณให้มากยิ่งขึ้น  และงานต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นได้สร้างความท้าทายให้กับคุณ ทำให้คุณได้รู้ศักยภาพของตัวเองว่ามีศักยภาพอะไรที่ซ่อนอยู่ คือในบางครั้งคุณอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคณทำงานนั้นได้ แต่หัวหน้าคุณเห็นมัน นั้นนำมาซึ่งการได้รู้ใจตนเอง และได้รู้ศักภาพที่มีและได้ดึงมันออกมาใช้ให้เต็มที่หากคุณปฏิเสธงานมากมายที่ฉันได้รับมอบหมายเพิ่ม จะไม่มีวันได้พัฒนา และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเองได้เลย นี่คือโอกาส!! ทำมันซะ!! เริ่มต้นคิดใหม่ได้แล้ว

      การเปิดใจ  ยอมรับความท้าทายที่มากมายในโลกของการทำงานเป็นหัวใจหลักสำคัญที่จะทำให้คุณคนที่พัฒนาได้อย่างเต็มภาคภูมิ คิดถึงจุดประสงค์หลักของการทำงานในแต่ละวัน ก็เพื่อเพิ่มมูลค่าของตัวเอง, เพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวคุณเอง นั่นเป็นสิ่งสำคัญหลักใหญ่ที่สุด เพราะถ้าหากคุณไม่ทำงาน บริษัทก็สามารถหาคนอื่นๆ มาทำงานแทนคุณได้

      ฉะนั้นแล้วหากคุณเกี่ยงงาน ไม่รักในงานที่ได้รับมอบหมาย หรือปฏิเสธ หรือขาดความรับผิดชอบ ทำแบบขอไปที  ผลร้ายที่เกิดขึ้นนอกจากคุณจะไม่ประสบผลสำเร็จจากงานที่ได้รับมอบหมายแล้ว ความภาคภูมิใจ หรือความชื่นชอบชื่นชมจากงานที่ควรเกิดขึ้นกับตัวคุณ ก็จะหายไป โอกาสดีๆ  จากการได้รับความไว้วางใจมอบหมายงานจากเจ้านายไม่ใช่ว่าจะหาได้อย่างง่ายๆ  แค่พยายามอีกสักนิดคุณก็พิชิตโอกาสดีๆ ได้แล้วค่ะ
      ง่ายๆ แค่เปลี่ยนความคิดค่ะ   มาพบกับเราได้ใน "นานาสาะ - วาไรตี้" ค่ะ  ^____^



"ก่อนนอน" ควรทำสิ่งนี้ เพื่อชีวิตสดใสในเช้าวันใหม่

กุมภาพันธ์ 16, 2562
       หลายคนบ่นกันมากเลยว่าอยากตื่นนอนมาแล้วสดชื่น แจ่มใสในทุกๆ เช้า หากอารมณ์สดชื่นในยามเช้าจะช่วยให้เราสดใสไปได้ทั้งวัน  แต่ไม่รู้จะทำยังไง ไม่เป็นไรเลยค่ะ วันนี้เรานำเคล็ดลับ!  3 สิ่งนี้ที่ควรทำก่อนนอน เพื่อชีวิตสดใสในวันรุ่งขึ้นมาให้อ่านและลองทำตามค่ะ เริ่มต้นกันเลย

      1. ผ่อนคลายจิตใจ   ชีวิตในหนึ่งวันของเรานั้น ต้องพบเจอกับอะไรตึงเครียดมากมาย หากเราหลับไปพร้อมกับความตึงเครียด เราย่อมตื่นมาพร้อมกับความหนักอึ้งในใจ เพราะงั้นก่อนนอน ให้ลองผ่อนคลายจิตใจ เช่น อาจจะฟังเพลงที่ชอบเบาๆ หรือหากเป็นวันที่เคร่งเครียด และมีความกังวลอย่างมาก ให้ลองลงมือเขียนสิ่งที่กังวลใจนั้นลงในไดอารี หรือโพสอิสง่ายๆ เพื่อบอกว่าฝากความกังวลไว้ก่อนนะ แล้วแปะไว้ข้างฝาค่ะ
     *การทำเช่นนี้ จะช่วยให้เราทบทวนคามรู้สึกของตนเอง พร้อมๆกับผ่อนคลาย ปล่อยวาง เพื่อเตรียมตัวพักผ่อนกันอย่างแท้จริง

      2. ขอบคุณสิ่งดีดีที่เกิดขึ้น เวลาก่อนเข้านอน เป็นช่วงที่เราควรคำนึงถึงความสุข และกล่าวขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เราได้รับ เพื่อช่วยให้เราอิ่มเอมใจ และมีความหวังกับชีวิตในวันรุ่งขึ้น นอกจากนี้การขอบคุณยังเป็นการแสดงถึงพลังทางบวก ช่วยปรับคลื่นในมองของเราให้สงบมากขึ้นอีกด้วย

      3. หลับสมาธิ  ฟังดูเหมือนแปลก แต่การทำสมาธิเล็กๆ น้อยๆ ก่อนนอน ช่วยให้จิตใจเราสงบ และผ่อนคลายอย่างแท้จริงเราเปลี่ยนจากการนอนนับแกะกระโดดไปมา ให้เราล้มตัวลงนอน พร้อมๆ กับตามลมใจหายใจเบาๆ หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ เมื่อหลับไปพร้อมกับใจที่จดจ่อกับลมหายใจ เราจะหลับสนิท ร่างกายได้พักเต็มที่ ตื่นมาก็จะสดชื่นสดใสในทุกวัน

      อ่านจบแล้วรู้สึกว่าดีจัง แล้วลองทำกันดูนะคะ ไม่ยาก ไม่เยอะ ไม่มีขั้นตอนที่ซับซ้อนอะไร แรกๆ ลองทำวันละข้อดูค่ะ
พบกับสิ่งดีๆ ได้ใหม่ใน "นานาสาระ - วาไรตี้" ค่ะ   ^_____^.

"ตัวตนของคุณในอนาคต" สร้างเองได้ในวันนี้

มกราคม 22, 2562
      
      สำหรับน้องๆ ที่ยังเรียนไม่จบ หรือคนที่ได้เริ่มทำงานไปสักพักแล้วพบว่าแนวทางของตัวเองในอนาคตนั้นยังไม่แน่นอน  อาจจะเลือกทำงานสักที่ไปก่อนแล้วค่อยลองงานหรือหาโอกาสใหม่ๆ คนที่มีโชคก็มีโอกาสได้เข้าไปทำงานที่ดีๆ และเปลี่ยนชีวิตของพวกเค้าไปเลย โชคดีแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนค่ะ แต่ว่าเราสร้างโชคดีให้กับตัวเองได้ด้วยการมองอนาคตตัวเองในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือสร้างความฝันของตัวเองง่ายๆ  ว่าอยากจะมีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ อยากมีบ้าน มีรถอะไรแบบไหน  แน่นอนบางคนอาจมางว่าเป็นการเพ้อฝัน แต่ความฝันย่อมเป็นความจริงได้ถ้าเราพยามมันมากพอ แบบไหนหรา !!  ไม่ต้องกังวลวันนี้วิธีสร้างสรรค์มาฝากกันค่ะ  เพียง 3 ข้อเท่านี้ ชีวิตก็ดี้ดีได้แล้ว

  1. ตำแหน่งงานที่ต้องการอยากเป็น  

เมื่อรู้แล้วว่าตำแหน่งงานที่เราต้องการคืออะไร?   เราก็ต้องเร่งฝึกฝนทักษะความรู้ต่างๆ  ต้องทำงานอย่างกระตือรือร้นเพื่อให้ได้ฝึกฝนทักษะที่จะนำไปสู่ตำแหน่งที่เราต้องการ

  2. บริษัทฯ ที่ต้องการเข้าทำงาน
ตั้งเป้าง่ายๆ  ด้วยการจินตนาการเห็นตัวเองเป็นพนักงานในสำนักงานใหญ่ที่มีชื่อเสียง  อย่าหยุดแค่จินตนาการให้เข้าไปหาข้อมูลให้ลึกว่าคุณสมบัติพนักงานของที่นั่นเค้าต้องการทักษะจำเพาะอะไร  และอะไรที่จะทำให้เราแตกต่างจากคู่แข่งที่จะยื่นใบสมัครพร้อมเรา 

  3. เพ่งสมาธิไปที่สิ่งที่เราต้องการ
ถ้าการทำให้สำเร็จแล้ว ต้องมุ่งมั่น ตั้งใจแน่วแน่ และหนักแน่น เพราะถ้าไม่มีส่งเหล่านี้ ถึงแม้เราจะเตรียมตัวมาดีแล้ว แต่ถ้าแค่เราพบอุปสรรคและล้มเลิกมันตั้งแต่เริ่มต้น  ก็ยากที่จะสำเร็จได้เช่นกัน

       ความสำเร็จในวันนี้ จะส่งผลดีในอนาคตแน่นอน เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ หามันให้พบโดยเร็วแล้วทำมันอย่างมุ่งมั่น  ^____^ 

วิธีสร้าง "กำลังใจในการทำงาน"

มกราคม 09, 2562
   
     ถึงทุกคนที่อยู่ในช่วงวัยทำงาน  ไม่ว่าจะทำงานที่เรารัก  ทำงานที่เราเลือก  ต้องมีความสุขกับงานอยุ่แล้ว แต่ยังมีอีกหลายคนที่ต้องแบกรับภาระหน้าที่หลายๆ อย่างจนรู้สึกกดดัน  ท้อแท้ บางคนก็อยากที่จะลาออกจากงาน พอคิดดูอีกทีก็ไม่กล้าตัดสินใจลาออก  เพราะกลัวการเริ่มต้นใหม่ แบบนี้เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทนต่อไป แต่เราเปลี่ยนมาให้กำลังใจตัวเราเองได้จากการ  "สร้างกำลังใจในการทำงาน"   ลุกขึ้นมาก่อนนะเราต้องเป็นกำลังใจให้ตัวเองอีกครั้ง ให้ก้าวไปกับมันอย่างมั่นใจ  เรามีวิธีมาแชร์ค่ะ >>>
  1. "ไม่มีอะไรยากเกินไป"
ไม่มีใครที่จะให้กำลังใจตัวเราได้ดีไปกว่าตัวเราเองค่ะ  เพราะการให้กำลังใจตัวเองว่าและเชื่อว่า “เราทำได้” คือเป็นพลังสำคัญที่จะเป็นแรงผลักดันให้เราลุกขึ้นมาสู้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และทำมันออกมาได้ดี เมื่อคุณเริ่มรู้สึกเหนื่อยหรือท้อแท้ขอให้คุณดึงพลังนักสู้ในตัวคุณออกมาค่ะ และบอกกับตัวเองเสมอๆ ว่าคุณคือคนเก่งคนหนึ่งที่จะสามารถฝ่าฝันอุปสรรคทุกอย่างรวมถึงงานที่กองอยู่ตรงหน้าให้สำเร็จลุล่วงได้ทันเวลา และตรงตามเป้าหมาย เย้!!

  2. มองงานให้เป็นเหมือน “เกม” ชนิดหนึ่ง
การมองเรื่องยาก! ให้เป็นเรื่องง่ายๆ จะทำให้คุณรู้สึกมีกำลังใจที่จะลงมือทำได้มากยิ่งขึ้น อยากให้คุณมองว่าการมาทำงานในแต่ละวันก็เหมือนกับการเดินทางมาเล่นเกม ดังนั้นเกมก็เปรียบเสมือนปัญหาซึ่งปัญหามีไว้ให้แก้ไข ถ้าหากคุณสามารถแก้เกมได้คุณก็จะกลายเป็นผู้ชนะในทันที นอกจากนี้คุณยังได้บริหารสมองโดยการใช้ทักษะและความรู้ที่คุณมีจัดการกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้าถือเป็นเรื่องราวดีๆ ที่สามารถทำให้คุณได้ดึงศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ ยิ่งใช้บ่อยยิ่งดีค่ะ

   3. เสนอไอเดียใหม่ๆ
เราอยากให้คุณรู้จักค้นหา หรือเสนอไอเดียใหม่ๆ ให้กับเพื่อนร่วมงานซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกว่าคุณได้มีส่วนร่วมในการทำงานและพัฒนาองค์กร รวมถึงยังทำให้คุณดูมีบทบาทในสายตาเพื่อนร่วมงานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังจะทำให้คุณได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่นๆ และรู้ถึงทัศนคติของบุคคลเหล่านั้น  ถ้าหากไอเดียของคุณคือไอเดียยอดเยี่ยมและได้รับการพิจารณามันจะทำให้คุณรู้สึกภาคภูมิใจและกลายเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาอีกค่ะ
  4. งานทำให้เรามีสังคม
มนุษย์เราก็คือสัตว์สังคมประเภทหนึ่งเพราะฉะนั้นอยากให้คุณคิดเสมอว่าการมาทำงานในแต่ละวันก็เหมือนกับการได้มาเจอเพื่อนได้พบปะกับผู้คนในสังคมมากมายได้ทำกิจกรรมหลายๆ อย่างร่วมกัน
หากไม่มีงานทำเราก็จะอยู่อย่างคนไม่มีสังคมไม่ได้พบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ และไม่ได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ในตัวให้เกิดประโยชน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเกิดความรู้สึกไร้คุณค่าและไม่ได้รับความภาคภูมิใจในตัวเองเลย

  5. ไม่มีงานไม่มีเงิน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินคือปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิตของทุกๆ คนโดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนที่อยู่ในช่วงวัยผู้ใหญ่อย่างหลายๆ คน ที่ต้องมีภาระและหน้าที่รวมถึงแบกรับความรับผิดชอบต่างๆ เอาไว้มากมายเพราะฉะนั้นอยากให้คุณคิดว่าเรามาทำงานเพื่อค่าตอบแทนที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตจึงควรใช้ความรู้และความสามารถที่มีนำมาพัฒนาองค์กรให้ก้าวหน้า และจงคิดเสมอว่า ชีวิตจะไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้หากขาดปัจจัยสำคัญอย่าง“เงิน” 


      สู้ๆ นะเราขอเป็นอีก 1 กำลังใจ ให้ทุกท่านได้มีพลังมากมาย และเอาชนะใจตัวเราเองให้ได้ค่ะ สู้!!!


เคล็ดลับดีๆ ที่ทำให้คุณ "ดูน่าสนใจ"

ธันวาคม 15, 2561
   
   <<อยากเป็นคนที่น่าสนใจ ต้องทำยังไง? >>
   1. สนใจ หรือให้ความสำคัญ
หากคุณไม่สนใจเกี่ยวกับอะไรรอบข้าง หรือไม่ให้ความสำคัญกับคนรอบข้างของคุณ  ก็จะไม่มีใครสนใจคุณเช่นกัน

     2. ลดความกร่าง
เช็ค! ตัวคุณเองโดยด่วน! ว่าเป็นคนหยิ่งผยองหรือไม่  เพราะหากอีโก้ของคุณสูงเกินไป  คิดแต่ว่าตัวเองต้องใหญ่ ต้องชนะต้อง  คุณก็จะกลายเป็นคนที่ไม่น่าคบหา ในสายตาผู้คนรอบข้าง

   3. ลองสิ่งใหม่ๆ
หัดลองทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำดูบ้าง  เช่นอะไรที่มันนอกกรอบสี่เหลี่ยมที่เคยทำเดิมๆ   ถ้าหากคุณไม่เคยคิดนอกกรอบเลยคุณจะไม่มีการพัฒนา

   4. ปิดหู-ปิดตา  อย่าฟังคำตำหนิ
คนนั้นพูดอย่างนี้  คนโน้นว่าอย่างนั้น  การเป็นคนน่าเบื่อนั้นปลอดภัยกว่าก็จริง เพราะคุณจะไม่โดนตำหนิซักเท่าไหร่  และพวกเขาอาจจะอยากด่าคุณ แต่พวกเขาทำไม่ได้  เพราะคุณเป็นคนน่าสนใจพวกเขาเกลียดการที่คุณเป็นคนน่าสนใจ

  5. ให้ความกล้าหาญ กับความกลัวคู่กัน
ข้อนี้ไม่พูดถึงไม่ได้  คือ  ความกล้าหาญที่จะผลักดันให้เราสู้กับปัญหา  แต่ก็อาจจะมีความกลัวว่า (จะทำไม่ได้แน่เลย)  คุณต้องหาจุดที่พอดีให้เจอ กล้าที่จะแสดงออก   กล้าที่จะทำสิ่งต่างๆ  ไม่
งั้นคุณอาจจะไม่มีวันพัฒนา และเป็นที่สนใจของผู้อื่นได้เลย

     เป็นคนที่น่าสนใจ นั้นไม่ยาก แค่ 5 ข้อนี้ ลองนำไปปรับใช้ในแบบของเราเองดูค่ะ

4 วิธีกระตุ้น ให้พนักงานแสดงความคิดสร้างสรรค์

ธันวาคม 09, 2561
    
       มีหลายองค์กรที่กำลังปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เพื่อการพัฒนาและการสร้างจุดยืนของตนเองในพื้นที่ตลาด ด้วยเหตุนี้ในพื้นที่ของการทำงาน การให้โอกาสพนักงานที่เคยได้แต่นั่งทำงานตามคำสั่งได้ออกมาแสดงความคิดเห็นจึงเป็นเรื่องค่อนข้างยาก จะกระตุ้นพวกเค้าให้คิดสร้างสรรค์อย่างไรดี? 

    1.  ให้ความมั่นใจว่าองค์กรเชื่อมั่นในความคิดเห็นของพนักงานทุกคน ด้วยการจัดการแข่งขันเมื่อองค์กรออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การแข่งขันกันตั้งชื่อสินค้าใหม่จะเป็นการเปิดทางให้พนักงานทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมกับองค์กรและสร้างความภาคภูมิใจกับผลิตภัณฑ์ที่ตนเองมีส่วนร่วมอีกด้วย

     2.  จัดเวทีกิจกรรมให้เกิดขึ้นในองค์กร
ฝ่ายบุคคลอาจจะต้องเตรียมวางแผนให้พนักงานในองค์กรเกิดการกระตุ้นให้ร่วมกิจกรรมที่องค์กรจัดขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการจัดการแข่งขันการแต่งโคลงกลอนเล็กๆ นั้นก็จะเป็นจุดเริ่มของเวทีการแสดงความมั่นใจให้เกิดความกล้าแสดงออกมาขึ้น

     3.  ทำการประเมินแบบ 360 องศา เพื่อให้ทุกคนจะได้รับการประเมินจากทุกคนไม่เว้นแม้แต่หัวหน้างานหรือเจ้านาย และเมื่อผลการประเมินเปิดเผยออกมาก็จะทำให้คนทำงานธรรมดาๆ ทุกๆ วันได้รู้สึกมีคุณค่าภูมิใจในตัวเองเป็นผลให้เค้าพยายามจะพัฒนาตนเองและให้ความใส่ใจกับการคิดหาวิธีการทำงานใหม่ๆ

    4.  สร้างแผนการอบรมคู่ขนานกับการทำงาน เพราะความอ่อนล้าของการทำงานจะทำให้พนักงานรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานเดิมๆ ได้การได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ นั้นย่อมสร้างโอกาสให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ดีค่ะ
       เมื่อพนักงานมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี ก็จะนำพาองค์กรให้พัฒนา รวมทั้งเป็นผลดีกับตัวพนักงานเองอีกด้วยค่ะ

มา " สร้างความมั่นใจให้ตนเอง "

ธันวาคม 09, 2561

       จะดีมั้ย? หากเรามีความมั่นใจมากกว่านี้ กล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงออก บอกเลยค่ะว่าดีมากๆ เลย ความมั่นใจเราสร้างกันขึ้นมาได้ด้วย 8 ข้อนี้ค่ะ
     1. ต้องผลักดันตัวเอง
 ถ้าเราต้องการดีดตัวเองให้พัฒนา  เราจะต้องลองท้าทายสิ่งที่ยากๆ ดูบ้าง และเมื่อไหร่รู้สึกว่ามันยากจนท้อ  ให้ย้ำเตือนตัวเองไว้ว่าระยะเวลา และการทุ่มเทนี้แหละให้กับความยาก ความท้าทาย เป็นสิ่งที่ทำให้เราสามารถพัฒนาตัวเราเองได้สำเร็จ

     2. พูดให้เก่ง
จะเป็นการพูดในที่ประชุม  หรือพูดระหว่างสัมภาษณ์งานก็ตาม ถ้าหากมีความวิตกกังวล ให้เราลองจำลองการสัมภาษณ์หน้ากระจกดู  เป็นการสร้างความมั่นใจให้ตัวเองอีกวิธี และเตรียมคำตอบเผื่อไว้ให้พร้อมกับคำถามที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย

     3. หมั่นพากเพียร
ถ้าอยากพัฒนาตนเองอย่าท้อโดยเด็ดขาด ให้ลงมือทำตามความฝันของตัวคุณเอง แต่อย่าให้ความล้มเหลวต้องทำให้คุณล้มเลิกความฝันเด็ดขาด เพราะมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

     4. หัดเป็นผู้ที่ “พึ่งพาได้”
การที่จะเป็นผู้นำที่ดีรู้ว่าอาจต้องเผชิญกับวิกฤตได้เสมอ  ดังนั้น จงอย่าตื่นตระหนกแล้วพยายามเตรียมตัวหาวิธีรับมือสถานการณ์หลายๆแบบที่อาจเกิดขึ้นให้ได้

     5. เป็นฝ่ายขอบ้าง

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าการต่อรองก็เป็นวิธีสร้างความมั่นใจที่ดีเช่นกัน  ลองกล้าเป็นฝ่ายขอเองบ้าง เช่น ถามหาเครื่องดื่มฟรีระหว่างมื้อกลางวัน หรือจะลองขอให้ร้านประจำของคุณลดราคาให้บ้าง ก็ไม่ได้ทำให้เราดูไม่ดีหรอกนะ 

     6. เห็นคุณค่าในตัวเอง
 บางครั้งเราอาจจะโดนทำร้ายด้วยคำพูดที่แรงๆ  หรือด้านลบจนสูญเสียความมั่นใจจงเตือนตัวเองไว้ว่าคุณเองก็มีคุณค่า และข้อดีมากมายในตัวเอง ไม่ต้องไปเอาคำพูดของคนอื่นมาใส่ใจ 

     7. ยอมรับความเสี่ยงบ้าง
การเตรียมตัวให้ดีก็เป็นหนึ่งในวิธีทำให้มั่นใจ กับการมุ่งไปหาเป้าหมายได้มากขึ้น  แต่อย่ามัวแต่เตรียมตัวนานเกินไปคิดได้ให้รีบเริ่มลงมือทำให้เร็วที่สุด และพร้อมยอมรับว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด และเริ่มเดินหมากของคุณได้แล้ว

     8. อย่าให้มีอีโก้มากเกินไป
ลองหันมองตัวเองดูสักนิด  เพราะว่าความมั่นใจที่เรามีในตนเอง กับความอวดดีนั้นต่างกันเพียงเส้นบางๆ ที่กั้นเอาไว้  และถ้าเราเป็นอยู่ควรลดอีโก้ตัวเองลงบ้างนะค่ะ

     คุณพร้อมที่จะสร้างความมั่นใจให้ตัวเองกันแล้วหรือยังล่ะ?

5 นิสัย ผู้ที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง

ธันวาคม 05, 2561
      มีหลายคนที่ทำงานกับองค์กร หรือบริษัทที่มีระยะเวลานานมาซักระยะ  อยากให้มนุษย์เงินเดือนทุกคน  มาดูกันว่าการได้รับการตอบแทนด้วยหน้าที่ที่ดีขึ้น หน้าที่รับผิดชอบใหม่ๆ หรือแม้แต่การเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง มีอยู่ 5 นิสัยค่ะ 

     1. การเลือกทำงาน ในที่ที่เหมาะกับความสามารถของตนเอง
 Halpin  กล่าวว่าการเป็นสุดยอดพนักงานไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าหากความต้องการของบริษัทไม่ได้ตรงกับทักษะความสามารถและความคิดคุณที่คุณมีนอกจากนี้รายงาน การวิจัย ปี 2015 โดย CiceroGroup พบว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดของการทำผลงานยอดเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอ ก็คือการได้รับการยอมรับโดย 37% ของผลสำรวจชี้ว่าการได้รับความสนใจจากผู้จัดการ หรือบริษัทเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดเพราะฉะนั้นจงเลือกที่ทำงานที่มีคนเห็นคุณค่าและความสำคัญของสิ่งที่คุณทำด้วยล่ะ

      2. การใส่ใจ กับสิ่งที่หัวหน้าให้ความสำคัญ
GayleLantz ผู้ก่อตั้งบริษัท WorkMatters ผู้นำด้านการให้คำปรึกษาจากเมืองเบอร์มิงแฮมรัฐอัลบามา กล่าวว่า สุดยอดพนักงานคือคนที่คอยศึกษาเรียนรู้เป้าหมายหรือความต้องการของหัวหน้าของตน
 รวมไปถึงหัวหน้าในตำแหน่งสูงขึ้นไปด้วย  พวกเขาอาจจะพยายามอย่างหนักเพื่อเข้าร่วมโปรเจคต่างๆ และการประชุมที่ไม่ใช่งานตัวเองแต่นี่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงความคิดและความต้องการของผู้บริหารบริษัทได้เป็นอย่างดี Lantz ยังบอกอีกว่า  “พวกเขาทำงานได้มากกว่าคนอื่นพวกเขาใส่ใจมีแรงผลักดันและแสดงออกว่าอยากเข้าใจความรู้สึกของการได้อยู่บนจุดสูงสุด” 

     3. ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ต้องรับผิดชอบพร้อมๆ ไปกับการมองภาพรวม
พนักงานที่มีฝีมือโดดเด่นสามารถประคองสมาธิทั้งต่องานตรงหน้า และต่อภาพรวมไปพร้อมกันได้  ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจ พวกเขาจะหาข้อมูลความสำคัญของงานนั้นๆ  เพื่อให้เข้าใจชัดเจนขิ่งขึ้น
เมื่อมองดูงานในแต่ละวันจากทั้งสองมุมมองด้วยความเข้าใจในเนื้องานและความสำคัญของมันอย่างถ่องแท้ คุณจะเริ่มรู้จักวางแผนรู้ว่าควรทำอะไรก่อนหลังในบางครั้งก็อาจจะรู้ก่อนคนอื่นด้วยซ้ำไป Halpin กล่าวไว้อีกว่ายิ่งไปกว่านั้นคุณจะสามารถลำดับความสำคัญงานได้ดีขึ้นรวมถึงทำงานได้เต็มที่และมีสมาธิเพื่อให้เกิดประโยชน์กับ บริษัทฯ อีกด้วย

     4. หยิบฉวยเวลาที่มีน้อยนิด เพื่อต่อยอดพัฒนาความคิดตนเอง
 Halpin กล่าวว่า การหยิบฉวยเวลาว่างระหว่างการประชุมสำหรับการคิดหรือการทำงานที่ต้องใช้สมาธินั้นเป็นสิ่งที่เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เราได้อย่างดีเยี่ยมสุดยอดพนักงานล้วนใส่ใจกับการจัดตารางเวลาทุกอย่างตั้งแต่การประชุมไปจนถึงโปรเจคใหญ่ๆ ให้พร้อมเพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาดีที่สุดพร้อมทั้งยังเจียดเวลาที่มีอันน้อยนิดนั้นเพื่อให้ได้มีโอกาสพัฒนาตนเองหรือทำสิ่งที่จำเป็นต่องานหรือการประชุมครั้งถัดไปด้วย

     5. การมีสัมพันธ์อันดี กับเพื่อนร่วมงาน
 Lantz กล่าวว่า พนักงานที่มีผลงานดีเยี่ยมมักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างเสมอ และรับรู้ได้ว่าคนรอบข้างต้องการอะไรโดยพวกเขาจะมีทักษะในการเห็นอกเห็นใจพยายามเข้าใจผู้อื่นจึงสามารถเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดีนั่นเอง

    มนุษย์เงินเดือนทุกคน  หมั่นฝึก 5 นิสัย ของเราเพื่อที่จะได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง และเป็นพนักงานที่มีคุณภาพระดับแถวหน้าได้ในเร็ววันค่ะ

"สร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ" First Impression

พฤศจิกายน 22, 2561
       เมื่อแรกพบกันการ "สร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ  FirstImpression"  จะเกิดขึ้นเพียง 7 วินาที แรกเท่านั้น  การสร้างความประทับใจนี้  ทำได้กับทุกอย่างเช่นการประชุมทางธุรกิจ การออกไปพบปะลูกค้  หรือแม้แต่การไปสัมภาษณ์งานก็ตาม  จะสร้างให้ดีที่สุดและเป็นที่น่าจดจำที่สุด 6 วิธีในวันนี้ช่วยเราได้เยอะเลยค่ะ
     1. การยิ้ม
สร้างรอยยิ้มให้เป็นสิ่งที่น่าจดจำในการพบกันเป็นครั้งแรก สีหน้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ หากต้องการสร้างความประทับใจแรกพบด้วยรอยยิ้มหากคุณยิ้มกว้างเกินไปจะทำให้ดูเหมือนว่ากำลังพยายามปกปิดความประหม่าไว้ภายใน เพราะฉะนั้นให้ยิ้มเพียงเล็กๆ ก็มีค่ามหาศาลแล้ว การยิ้มไม่ได้เพียงแต่ช่วยให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกสบายใจแล้ว ยังช่วยลดฮอร์โมนความเครียด ที่ส่งผลเสียต่อร่างกายอีกด้วย ซึ่งมีงานวิจัยมากมายได้ยืนยันแล้วว่าการยิ้มสามารถทำให้เราอายุยืนได้ค่ะ 

     2.การจับมือย่างมั่นใจ
การจับมือทักทายเป็นสัญลักษณ์ของมารยาทสากล การจับมือให้ถูกวิธียังสามารถสร้างความมั่นใจให้คุณอีกด้วย การจับมือทักทายไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะคะ แต่การจับมือทักทายถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ควรจับแบบพอดีๆ ไม่แน่น และไม่หลวมเกินไปค่ะ

     3. การกล่าวคำทักทาย
หากต้องการให้ 7 วินาทีแรก นี้มีประสิทธิภาพการเอ่ยคำทักทายเล็กๆ น้อยๆ เมื่อมีโอกาสถือเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว อาจกล่าวคำง่ายๆ เช่น "ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ/ นะครับ" หลังจากเอ่ยคำทักทายกันแล้วก็สามารถลดความตึงเครียดในบทสนทนาได้ค่ะ

    4. การพูดจาฉะฉานชัดเจน
คนเรามักมีเรื่องที่น่าสนใจที่อยากจะพูดมากมายแต่กลับพูดออกมาด้วยความไม่มั่นใจเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเรื่่องที่น่าเสียดายเพราะมันอาจทำให้เราถูกมองข้ามไปได้ ดังนั้นเราควรจะสามารถนำเสนอตัวเองด้วยความมั่นใจ และทำให้อีกฝ่ายหยุด และฟังเราได้  แบบนี้ค่ะไม่ควรพูดผิดๆ ถูกๆ หรือพูดเสียงดังเกินไป งานวิจัยหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า คนที่พูในโทนเสียงต่ำและพูดอย่างใจเย็นจะเป็นคนที่ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจ และอยากฟังมากกว่า 

     5. การสบตา
การสบตา เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณมีความมั่นใจ และให้ความสนใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่ ซึ่งประเทศในแถบตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริการ การสบตาถือเป็นสัญลักษณ์ว่าคุณให้เกียรติผู้พูด อีกทั้งยังบ่งบอกว่าคุณกำลังสนใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดอยู่  แต่ในทำนองเดียวกันถ้าคุณเหม่อลอยไม่สบตาคู่สนทนา ก็จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าคุณไม่ให้เกียรติ หรือสนใจเขาเลย ยังไงซะการจ้องมองอีกฝ่ายมากเกินไป แบบไม่กระพริบตาเลยคุณอาจถูกมาในแง่ลบได้เช่นกัน

     5. การใช้ถาษากาย
เป็นจิติทยามนุษย์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่่งค่ะ คือมนุษย์เรามักจะทำตามภาษากายของคู่สนทนาโดยไม่รู้ตัว นึกตามถึงเวลาที่มีคนหาว 1 คนในกลุ่ม แล้วต่อมาจะมีคนหาวตามกันไป การยิ้มให้กันก็เช่นกัน เมื่อมีคนยิ้มให้ ก็มักจะได้รับการยิ้มตอบกลับมาเสมอ อันที่จริงแล้วมนุษย์มีเซลล์ประสาทส่วนหนึ่งที่ทำหน้าที่ด้านการสังเกตสีหน้าท่าทาง ซึ่งเซลล์ประสาทเหล่านี้ เป็นตัวที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (Mirroring Reaction) เพราะฉะนั้นเมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าคุณยิ้มให้ เซลล์ประสาทนั้นจะทำงานทันที เราจึงเห็นเขายิ้มตอบกลับมาค่ะ จากงานวิจัยเผยว่า คนที่มักมีความรู้สึกคล้ายๆ กันมักจะเป็นคนที่ต่างฝ่ายต่างให้ความไว้ใจต่อกัน และเข้าใจซึ่งกันและกันอีกด้วยค่ะ

     รู้แบบนี้แล้วคุณล่ะ  พร้อมที่จะสร้างความประทับใจให้ผู้อื่นแล้วหรือยัง  ^____^

“ให้อภัย และ ปล่อยวาง ” 4 ลำดับ

พฤศจิกายน 15, 2561
  
        "การให้อภัย และปล่อยวาง"  ทำยากนะ แต่หากทำได้มันก็ดีสำหรับใจเรา และสำคัญเลยนะมันช่วยเยียวยาอาการซึมเศร้า หรือเหตุการณ์สะเทือนใจได้เป็นอย่างดีค่ะ เริ่มที่  >>

   1. จงเผยตัวตนของเราออกมา
ข้อนี้ต้องซี่อสัตย์ต่อตัวเอง ต่อความรู้สึกโกรธ ความเจ็บปวด แล้วประเมินความเสียหาย ที่สิ่งต่างๆ ที่เกิดกับเราได้ส่งผลต่อชีวิต หากพ่อแม่เลี้ยงดูเรามาแบบให้เราเติบโตอย่างไร้ค่า แล้วทุกวันนี้คุณรู้สึกแบบนั้นหรือเปล่า?  คุณโหยหาความรัก หรือการยอมรับในทางที่ผิดอยู่หรือเปล่า?


   2. กล้าตัดสินใจ
ต้องตัดสินใจให้อภัย แก่คนที่ทำให้เราเสียใจ และปล่อยวางความเจ็บปวด เคียดแค้นนั้นไปซะเร็วๆ โดยขโมยงาน ขโมยไอเดีย คำพูดหรืออะไรก็แล้วแต่ และไม่ยอมให้เครดิตกันเลย แบบนี้ถึงเวลาที่เราจะเปลี่ยนแปลง และหาวิธีรับมือกับคนพวกนี้ ปล่อยไว้ในระยะยาวความรู้สึกด้านลบ และความโกรธไม่ได้เหล่านี้ไม่ได้ช่วยทำให้ชีวิตเราดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย


   3. พยายามให้มาก
ใช่แล้วเราต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายเลย ที่จะเห็นอกเห็นใจ และเข้าใจคนที่ทำให้เราเสียใจ เสียความรู้สึก  - เอ็นไรท์  แนะนำว่าเราควรตั้งคำถามกับตัวเอง เช่นคนนี้เขาถูกเลี้ยงดู และเติบโตขึ้นมาอย่างไร?  เขามีปม หรือบาดแผลทางใจอะไรอยู่หรือไม่? หรือเพราะความเครียด กดดัน ที่เป็นสาเหตุให้เขาทำร้านจิตใจความรู้สึกเรา?
นึกถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอาจให้คนนั้นได้ไม่ว่ารอยยิ้มทักทาย พูดคุยด้วย หรือแค่อดทนให้มากขึ้นในครั้งต่อไปที่ต้องเจอกันอีก จำไว้ว่าการให้อภัย กับการประนีประนอมนั้นไม่เหมือนกันนะ หากต้องทนกับความสัมพัน์ที่ใช้กำลังหรือความรุนแรง การให้อภัยก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำต่อนะ


   4. ค้นหา ความหมายของสิ่งที่พบเจอ
ให้ค้นหาความหมายของเรื่องราว และจุดประสงค์ที่ต้องประสบมา เราจะช่วยคนที่กำลังเจ็บปวดได้อย่างไรล่ะ? เช่นเราตกเป็นเหยื่อของเรื่องราวเลวร้าย เราอาจลุกขึ้นสู้ในเรื่องที่มันถูกต้องให้มากขึ้น  - เอ็นไรท์กล่าวว่าเมื่อคุณปล่อยวาง คุณจะได้พบว่า "หากเรามอบความเมตตาเอื้ออาทร และความรักให้แก่ผู้อื่น เราเองก็จะได้รัการเยียวยาเช่นกัน"

        มาหัดฝึกปล่อยวาง และให้อภัย แล้วใจเราจะเบา ใจเรา ชีวิตเราจะเหลือพื้นที่ให้สิ่งดีๆ คนดีๆ เพื่อนดีๆ และมีพลังที่สร้างสรรค์ให้กับตัวเรามากขึ้นเยอะ  ที่ผ่านไปให้อภัยได้แล้วจงนำมาเป็นบทเรียนใช่ว่าเราจะไม่จำนะ "จำแม่นๆ" จะได้ไม่พลาดอีก


5 วิธี ให้คุณเลิกเบื่อ "วันจันทร์"

กันยายน 15, 2561

    วันจันทร์อีกแล้ว!!!   เห่อ...ยังหยุดพักไม่หนำใจเลย วันจันทร์เร็วจัง  ฮั่นแน่ ..หลายคนคิดแบบนี้อยู่หรือเปล่า แต่ถึงยังไงเสียเราก็หนีวันจันทร์ไม่พ้นหรอก เรามาหาวิธีแก้ไขกันดีกว่าแค่ 5  ข้อนี้ค่ะ

     1.   พยายามทำงานให้เสร็จไว้ตั้งแต่วันพฤหัสฯ  -  เพื่อให้งานของเราเหลือน้อยที่สุดในวันศุกร์ ถ้าหากมีการแก้ไขงาน คุณยังจัดการแก้ไขได้ทัน

     2.   โน๊ตงาน เย็นวันศุกร์ให้ลิสต์ไว้ได้เลยว่าวันจันทร์ต้องทำงานอะไรบ้าง  - วิธีนี้จะช่วยลดความกังวล และช่วยเตือนความจำได้ดีทีเดียว

     3.    ลืมไม่ได้คือจัดลำดับความสำคัญของงาน   -  เพราะจะช่วยให้เราแบ่งเวลาการทำงานได้ดียิ่งขึ้นไปอีก

     4.   ช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์   -  ขอให้พักผ่อน และใช้เวลาส่วนตัวกับครอบครัวให้เต็มที่

     5.  ช่วงเช้าวันจันทร์ให้เตรียมตัวแต่เช้า  -  ออกจากบ้านให้เช้ากว่าวันอื่นๆ เพื่อเลี่ยงปัญหารถติด

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะค๊ะ ข้อ 2,และข้อ 3 นำไปใช้ได้ผลดีในทุกๆ วันเลยค่ะ ค่อยๆ จัดระเบียบกันไป
 เป็นกำลังใจให้นะคะ  แล้วเจอกันใหม่  >>>>>


  

เทคนิคเพิ่มเวลา ให้เหลือใช้เป็น 10 เท่า

มีนาคม 05, 2561


       มา__เพิ่มเวลาให้ตัวเอง

  ให้รางวัลชีวิตด้วยเทคนิคง่ายๆ เพียงแค่เพิ่มเวลาให้ตัวเอง และลองนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับชีวิตประจำวันกันค่ะ
         
    เข้าใจสภาพปัญหาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
       มองเห็นประเด็นปัญหาชัดเจนขึ้น ด้วยการจัดกลุ่มวิธีใช้เวลาของเราเอง แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่เพื่อสิ่งไร้ประโยชน์โดยใช้  แผนภูมิการลงทุนกับเวลา และทำความเข้าใจการใช้เวลา
    กำหนดเรื่องที่จะ "ไม่ทำ"
      อันนี้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด ของการบริหารเวลา เมื่อพิจารณาจากมุมมองของประสิทธผลต่อการลงทุน และการเลิกทำสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะทำให้ตัวเรามีเวลาเพิ่มขึ้นอีก

     กำหนดสิ่งที่มอบหมายให้คนอื่นทำแทนได้
      การใช้เวลาจดจ่อทำสิ่งที่เราถนัดโดยไม่พยายามทำทุกอย่างด้วยตนเอง แล้วเอารายได้ที่ได้จากงานนั้นไปแลกกับเวลาของคนอื่น ทำให้การบริหารเวลามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เป็นวิธีใช้ประโยชน์จากการจ้างมืออาชีพให้ทำงานให้ หรือเมื่อเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในบริษัท ก็ให้มอบหมายหน้าที่ให้ผู้ช่วยทำแทนต่อไป 

   ทำสิ่งที่มีแค่เราเท่านั้น "ที่ทำได้" ให้มีประสิทธิภาพ
     ทำให้ประสิทธิภาพ การใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการใช้เทคนิคต่างๆ ที่เรามี เช่น ใช้สมุดบันทึก สร้างนิสัย ใส่ใจสุขภาพ ยืมแรงคนอื่นมาใช้ ทบทวนเวลาที่ใช้ในการเดินทาง ทบทวนเวลาที่ใช้ทำงานบ้าน และการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน รวมถึงทบทวนทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

      ฝึกฝนวิธีก้าวไปข้างหน้า แบบผสมผสาน
       ถึงแม้ว่าเราจะนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้แต่ก็มีแนวโน้มที่จะกลับไปหาวิธีทำ และวิธีคิดแบบเก่า การจำให้ขึ้นใจถึงวิธีทำเวลาที่มีเพิ่มขึ้นกลับมาลงทุนเพื่อเพิ่มขึ้นอีก
     ^__^  สร้างนิสัยดูสมุดบันทึกยามว่างอยู่เสมอ
     ^__^  ดูช่องโหว่ระหว่างแผนการ และสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
     ^__^  วัดประสิทธิผลของการบริหารเวลา
     ^__^  ปรับปรุงการบริหารเวลาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
     ^__^  ทำให้วิธีใหม่เป็นที่ยอมรับ และสามารถมุ่งไปยังทิศทางที่ดีกว่าได้

      มาเพิ่มเวลาให้เหลือใช้เป็น 10 เท่า

ตั้งเป้ารวย ก่อนแก่

กรกฎาคม 01, 2560


      เรื่องเงิน เป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งอายุเริ่มมากขึ้นหลายท่านพยายามหาแนวต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคง และให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในวัยทำงาน แต่ลืมนึกถึงแผนการเงินที่ทุกคนต้องเจอแน่นอน คือแผนเกษียนอายุ ปัจจุบันประชากรมีแนวโน้มอายุยืนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่ามั้ย วันนี้มี 3 เรื่องหลักที่ต้องรู้ เพื่อต้งเป้าไว้ก่อนวัยเกษียน 

    1.  รู้ตัวเลข เพื่อตั้งเป้าก่อนวัยเกษียน  จะต้องทราบข้อมูล เพื่อใช้กำหนดเป้าหมายทางการเงิน 
         - สิ่งแรก ต้องการใช้จ่ายหลังเกษียนต่อเดือนเท่าไหร่? 
         - สิ่งที่สอง จำนวนปีที่จะใช้เงินหลังเกษียน ซึ่งเป็นข้อมูลที่คาดการได้ยาก จากการสำรวจค่าใช้จ่ายหลังเกษียน พบว่า ค่าใช้จ่ายควรมีอย่างน้อย 15,500 บาทต่อเดือน และจากข้อมูลของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ปี 2556 พบว่า ประชากรไทย ผู้ชายมีอายุเฉลี่ย 71.1 ปี ในขณะที่ผู้หญิงมีอายุเฉลี่ย 78.1 ปี ดังนั้นให้ใช้จำนวนปี่ที่จะใช้เงินหลังเกษียนอย่างน้อย 20 ปี ขึ้นไป

     2.  รู้ทางเลือก เพื่อสร้างความมั่งคั่ง ก่อนหยุดทำงาน
          - ทางเลือกแบบจำเป็น  เป็นทางเลือกที่ผู้มีรายได้ประจำอาจมีอยู่ แต่ไม่ทราบสิทธิประโยชน์ทีจะได้รับ เช่น กองทุนประกันสังคม เป็นแหล่งเงินออมภาคบังคับสำหรับผู้มีรายได้ประจำ หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ที่สามารถเลือกสัดส่วนการออมเงินได้ที่มี เพื่่อสะสมไว้ใช้ยามเกษียน 
          - ทางเลือกแบบแนะนำ เป็นทางเลือกที่ผู้มีรายได้ประจำ หรือเจ้าของกิจการสามารถใช้เป็นทางเลือกในการออมเพื่อเกษียนได้ โดยภาครัฐจะใช้มาตรการทางภาษีในการจูงใจให้ออมเงิน เช่นกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นประกันแบบบำนาญ
          -  ทางเลือกตามสไตล์คุณ  เป็นทางเลือกในการออมต่างๆ เช่น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หรือกองทุนรวมทั่วไป

     3.  รู้ทางลง เพื่อปรับเปลี่ยนแผนพิชิตเป้าหมาย  ข้อควรรู้สุดท้าย คือ ต้องรู้ทางเลือก (ในการ) ลง (ทุน)  หลังจากรู้ตัวเลขของเป้าหมายทางการเงิน และรู้ทางเลือกว่าจะมีแหล่งเงินออมจำนวนเท่าใด จะทำให้รู้เป้าหมายในการออมเพิ่ม จึงมาสู่ขั้นตอนในการจัดสัดส่วนเท่าไร และมีโอกาสจะบรรลุเป้าหมายรวยก่อนแก่ได้มากหรือน้อยเพียงใด นอกจากหาแผนปฏิบัติการได้แล้วว่าจะออมเท่าไร และจะลงทุนอย่างไร สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามอีกประการ คือ การติดตามผลว่าเมื่อดำเนินการตามแผนที่วางไว้แล้ว จะมีผลตอบแทนเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ และจะปรับแผนการออมอย่างไรต่อไป เพื่อให้ยังสามารถบรรลุเป้าหมายรวยก่อนวันเกษียนไว้ได้ดังเดิม

เรียนรู้ และพัฒนา 70 : 20 : 10

กรกฎาคม 01, 2560


    การเรียนรู้  และพัฒนา แบบ 70 : 20 : 10  มีจุดมุ่งหมายคือให้พนักงานได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพสูงที่สุด ได้กำหนดเป็นแนวทาง ดังนี้

     70%     เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงจากการทำงาน การเรียนรู้ด้วยวิธีนี้ ต้องออกแบบให้การทำงานในทุกๆ วันของพนักงานมีโอกาสได้เรียนรู้จากหน้างานจริงๆ หรือการได้รับมอบหมายงานใหม่ จากหัวหน้างาน 

     20%     เรียนรู้จากบุุคคลอื่นๆ รอบข้าง ซึ่งก็คือเรื่องของการ Coaching และ Feedback จากหัวหน้างาน หรือจากบุคคลที่เกี่ยวข้องในการทำงาน บางครั้งอาจใช้การประชุมทีม เพื่อที่จะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และได้แชร์ประการณ์ของแต่ละคนในทีมงาน

     10%     เรียนรู้จากการเข้าอบรมอย่างเป็นทางการ รูปแบบการเรียนรู้แบบ 70 : 20 : 10 นี้จะเน้นการอบรมอย่างเป็นทางการน้อยมากเพียง 10% เท่านั้น เพราะเชื่่อว่าคนเราจะเรียนรู้และเข้าใจเรื่องนั้นๆ ได้จริงไม่ใช่มาจากการฝึกอบบรม แต่จะมาจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และจากผู้ที่มีประสบการณ์ตรง 

    

บริหารเวลาอย่างไร ให้ชีวิตประสบความสำเร็จ

เมษายน 06, 2560
  
    ว่าด้วยเรื่องการบริหารเวลา หลายคนไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง วันนี้เรามาดู 5 วิธีสั้นๆ ที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ กันค่ะ
  • 1. ใช้ทุกๆ นาทีให้คุ้มค่าที่สุด คนที่สำเร็จ จะเริ่มต้นลงมือทำเลย และทำอย่างตั้งใจจดจ่อ ทำทันที โดยไม่ต้องรอเวลา ไม่ต้องรออารมณ์
  • 2. ไม่ต้องกำหนดเวลาให้ตนเอง  คนที่สำเร็จ จะไม่มีเวลาเริ่มงาน-เลิกงาน ไม่ได้กำหนดเวลา ว่าฉันจะเริ่มงาน 8 โมง เลิกงาน 5 โมงเย็น แต่จะทำงานนั้นไปจนกว่าจะสำเร็จ
  • 3. ไม่ยอมเสียเวลาทำในสิ่งที่ตนเองไม่มีความสุข คนที่สำเร็จ  เมื่อรู้ว่าอะไรที่มันไม่ใช่ ก็จะเปลี่ยนทันที จะไม่ยอมเสียเวลาทีในสิ่งที่ไม่ใช่เพราะมันทีให้ไม่มีความสุข
  • 4. ใช้เวลาอย่างฉลาด คนที่สำเร็จ จะมีวิธีใช้เวลาได้อย่างฉลาด เช่น ใช้เวลาในการประชุมให้น้อยที่สุด โดยวางแผนการประชุมไว้อย่างชัดเจนรัดกุม และกำหนดเวลาไว้อย่างชัดเจน
  • 5. ไม่ใช้เวลาไปกับอดีต คน
  •  ที่สำเร็จ จะไม่จมปลักไปกับอดีตที่เจ็บปวด หรือชื่นชมกับอดีตที่แสนหวาน เพราะนั้นคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว สิ่งที่ควรทำคือ ใช้มันเป็นบทเรียนและเป็นฐานในการใช้ชีวิต พร้อมทั้งก้าวเดินต่อไปในอนาคต